ชีวิตมีหลายสิ่งที่น่าสนใจ



love is the flower for which love is the honey : victor hugo

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Juno Reactor photos

Juno Reactor photos

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

It 'me...I LIKE IT

ก็จะอธิบาย ถึงผมผู้เป็นเจ้าของ I LIKE IT โดยรวมว่ามีองค์ประกอบเยี่ยงไร มันก็คือ อะไรก็ตาม ที่ผมชอบ ซึ่งบางช่วงเวลา บางตอนอาจจะเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ หลากๆหลายๆ ตามอำเภอใจไปเรื่อย โดยประกอบได้ประมาณนี้
Bon Jovi + ขี้อาย + มองโลกแง่ดี + Nonthaburi + ไม่ชอบคนจุกจิก + เครปไส้แฮม และ หมูหยอง + ท้องอืด + อกหัก + ไม่ชอบการเปรียบเทียบ + ทำกับข้าวแต่กินได้คนเดียว + Sensitive + อ่านการ์ตูน + Winning Eleven + ถนนคนเดิน + เขาใหญ่ + Architect + โรคกระเพาะ + เมาควันบุหรี่ + Chiang Mai + ชอบฟังเพลง + Calvin Klein + ไม่ชอบเสียงดัง + Bekery + เปิดเผย + เกรงใจ + ชอบกินกาแฟแต่กินไม่ได้ + Omnia2 + เลือกที่จะเดินหนีมากกว่าโต้ตอบ + Vachira Hospital + กินเผ็ดไม่ค่อยได้ + UOB + รักสนุก + ไม่ชอบคนเอาเปรียบ+ MVเงียบๆคนเดียว เบิร์ด ธงไชย + คิดไม่เหมือนชาวบ้าน + หลับยาก + สุรีพรย์ ภู่สิทธิศักดิ์ + ตื่นง่าย + PhD + เรือด่วนเจ้าพระยา + ไม่ชอบโกรธใครนาน + ไม่เที่ยวกลางคืน + หลวงพระบาง + iNdy + Musketeers + ไม่ชอบกินผัก + KMITL + มีโลกส่วนตัว + ชอบสีชมพู + วังหลัง + GR + รุ่งทิพย์ + เวลาไม่มีอารมณ์ทำอะไรไม่ได้ + ขี้หนาว + Baracudus + ไม่ชอบฝืนยิ้ม + นมเย็น + คีรีบูน + Vintage&Retro + ไม่อยากเหมือนใคร + จริงจังกับงาน + BluePLANET + ช่างฝัน + หายตัวไปเมื่องานเสร็จ + G2 + ภูเก็ต + เคยแข่งชกมวยโรงเรียนโดนน๊อคยกสอง + ชอบคุยกับคนไม่มีมุม + Eye + อะไรก็ได้ + เบื่อการเมือง + Jeon Ji Hyun + ถูกครูทำโทษให้ไปยืนคาบไม้บรรทัดขาเดียวตอนอนุบาลสอง + อยากหายตัวได้ + เบื่อ hi5 + ไม่ชอบความรุนแรง + ชอบมุขตลก + ต่อมน้ำตาตื้น + เลิกเหล้าถาวร + Benz SLK + มีเพื่อนสนิทที่รู้จักกันตั้งแต่3ขวบจนป่านนี้ยังคุยกันอยู่ + เตาปูน + ปุ๊ก + CN + ไม่ชอบอยู่กับที่ + เนียน + รักแม่มากๆ + รอยยิ้ม + หัวเราะเสียงดัง + Kenzo Tange + ไม่สูบบุหรี่ + วรจักรคืนวันเสาร์ + Man U + ไม่ชอบใส่แว่น + Glico Alfie + ตรอกตึึกดิน + Sepia + ไม่ชอบเอาชนะ + ไม่ชอบความคาดหวังใดใด + ESP + ปวดหัวเวลาได้กลิ่นน้ำหอม + ชอบมองคนยิ้ม + สนามหลวงวันอาทิตย์ + Oakley Felon Matte Black + เรื่องที่เสียใจที่สุดทำอะไรแล้วไม่คิด + ขี้ลืม + ปทุมรัตน์ วรมาลี + เลือกที่จะไม่จำ + ใจอ่อน + นอน + หัวหิน + ไม่ชอบ physics + เคยให้เพื่อนลอกข้อสอบ + อ้อย + HONDA ACCORD + ขี้เกียจอาบน้ำ + สับสนในตัวเองบ่อยๆ + เธอคือใคร ETC + เคยถูกครูส่งไปแข่งIQ180 + เลิกเล่นกีตาร์แล้วแต่ยังสนใจ + อย่าอ้อมค้อม + Voltaren Emulgel ราคา170บาท + เป็นผู้ชาย + ชอบแสงอาทิตย์ + ฉู่ฉี่ปลาทู + Tattoo Color + กินจุกจิก + มีแผลเป็นที่ใต้ตาขวาเพราะหนังกระบี่ไร้เทียมทาน + Skinhead + จุดอ่อนอยู่ที่คำพูด + กลัวการเริ่มต้น + อยากเห็นตอนจบไวๆ + FILA + ใช้Photoshopไม่เป็นแต่พยายาม + ไม่ชอบคำถามที่ไม่มีคำตอบ + Gabriel Batistuta + อิสระ + ไมโคร + อย่ารอให้ถึงพรุ่งนี้ + 500 + AIWA + 'อืม' เป็นคำพูดติดปาก + ไม่ชอบหลักการ + มึนๆ + ไม่ชอบคนเมาแล้วหาเรื่อง + เบา เบา + ตามหาตัวเอง + วงMild + ไอสครีมรสสตอเบอรี่ร้่านทิพย์รสเตาปูน + เป็นต่อ + น้ำมันตรานกอินทรี + God of War+สบู่นกแก้วสีเขียว+ ถ้ามีพรวิเศษหนึ่งข้อจะขอให้เป็นตัวเองอย่างนี้เรื่อยๆไป *

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เพราะชีวิตคนเรามันก็แค่ พอใจ

เพราะชีวิตคนเรามีแค่ 21,900 วันเท่านั้น
คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี

1 ปี เท่ากับ 365 วัน
แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน
คิด ปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที
ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม...ไม่เลว 3,120 สัปดาห์

แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา
แทบเบือนหน้าจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับแถวหลังเพื่อรอวันลาโลก

เปล่าเลย ไม่ได้กลัวตาย ตรงกันข้าม กับคิดว่าตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มันน้อยมาก
หากคำนวณในเชิงตัว เลข ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน เพลงอีกหลายเพลงที่ยังไม่ได้ฟัง
หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เคยดู ความรู้สึกในใจมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตร ที่ยังไม่เคยไป

โอ๊ย...กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามันน้อยเกินไปจริงๆ
และที่น่ากลุ้มไปกว่า นั้น คือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี

แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่า บางคนไม่ได้มีเวลาอยู่บนพื้นโลกถึง 21,900 วันหรอกนะ
อาจ ไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ
อุแม่เจ้า... 2 คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึงสามพันแล้วเหรอเนี่ย

คิดแบบ นี้แล้วต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้างๆ
เพราะนี่คือวัน เสาร์ที่เราเหลือ...บนพื้นโลก


นี่เรากำลังอ่านอะไรบ้าบอ อยู่เนี่ยคิดมากไร้สาระ ฟุ้งซ่าน ....
ไม่เลย นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งนั้น หากเป็นความจริงที่เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ นี่คือ เรื่องจริงเรื่องหนึ่ง
ที่คนส่วนใหญ่มองข้ามมันไป งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 18 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,235 วัน และผ่านคืน
วัน เสาร์มา ร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น...

เอา เวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลาที่(คาดว่าน่าจะ)เหลืออยู่ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะยังไงกับมันดี


แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวันๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่อ อะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า เงินเดือน

บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้ อยู่ 4 ปี ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ ไม่ก็เห็นเพียงว่า
เพื่อนเรียน เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี

บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น แต่กลับปล่อยให้หัวใจตัวเอง
เหลือแต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน

บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวันๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ คุณแน่ กูแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ...ไอ้บ้า!!!

และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม 'ฆ่าเวลา' ... ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องนั่งฆ่าเวลากันเลย
บอกตรงๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี


อีก หน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ


ลองคิดแบบนี้บ้าง...ใช่แล้ว... เราจะเกิดความเสียดายเพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านอย่างที่เราไม่ได้ทำ


ตาย ได้ยังไงหากฝันไม่สำเร็จ...ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
แต่ให้รีบ ทำทุกอย่างก่อน ที่จะตาย...ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้


เคยสงสัย มั้ย... ทำไมเราถูกกำหนดไม่ให้รู้วันตายของตัวเองเพราะมันจะทำให้เราไม่แยแสทุกสิ่ง ทุกอย่าง
และตอบสนองความต้องการของตัวเอง ทั้งในทางดีและทางชั่ว

และ ในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า เอาแบบว่าถ้าตาย
วันพรุ่งนี้ก็จะได้นอนตาหลับ เกิดโชคดีไม่ตายขึ้นมาเราก็จะได้กำไรในการอยู่ต่อเพื่อทำสิ่งดีที่ยังค้างคา


ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า...พรุ่งนี้ชั้นจะตายแล้ว
ทำในสิ่งที่ เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก
ตามฝันของเราไปสุดโต่ง...ต้องรีบ แล้ว...เดี๋ยวตายยนะ...เตือนแล้วไง

รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย...
เพราะ พรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ)ตายแล้ว

ใช้เวลา(ที่อาจจะ)สุดท้ายที่มีต่อกัน ไว้ กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำ ได้ เพราะอย่างน้อยๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอยให้สัมภาษณ์ยมบาล



แรงบันดาลใจที่อยากจะ บอกว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ

อ้าว!!! รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ


เดี๋ยว ตายซะก่อน...เสียดายแย่!!!นะครับท่าน

เพลง: ชีวิตเป็นของเรา
อัลบั้ม: Believe
ศิลปิน: บอดี้สแลม

คน เราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน เวลามีเหลือกันเท่าไหร่
คนเราจะมีลมหายใจ อีกกี่ครั้ง ใครจะรู้
คนเรายังมีสมองที่แตกต่างกัน ยังมีความฝันได้มากมาย
คนเราจะมีชีวิตเริ่มใหม่ได้ใช้ คงน่าเสียดาย

ต้อง ขออภัยจริงๆ ที่ฉันไม่ได้ไปด้วย
กับเส้นทางของใคร ที่เขาคิดว่าดี
วันนี้ ไม่ได้เดินตาม แต่ฉันก็เต็มที่
กับเส้นทางของฉัน วันนี้

ชีวิตจะ เป็นแบบไหน คงต้องเลือกเอา
ก็ตัวของเราก็ใจของใครของมัน
ชีวิตที่เป็น แบบนี้ คงไม่ว่ากัน
ก็ชีวิตมันเป็นของเรา

คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้ อีกกี่วัน เวลามีเหลือกันเท่าไหร่
คนเราจะมีลมหายใจอีกกี่ครั้ง ยังไม่รู้เลย
ให้คิดที่ทำตามใคร ก็รู้ว่าคงดีแน่
แต่เกิดมาทั้งที ต้องทำที่ใจอยาก
ชีวิตที่เป็นตัวเอง ก็รู้ว่ามันแย่
แต่มันต้องขอลอง สักครั้ง

ชีวิตจะเป็นแบบไหน คงต้องเลือกเอา
ก็ตัวของเราก็ใจของ ใครของมัน
ชีวิตที่เป็นแบบนี้ คงไม่ว่ากัน
ก็ชีวิตมันเป็นของเรา

ชีวิต จะเป็นแบบไหน คงต้องเลือกเอา
ก็ตัวของเราก็ใจของใครของมัน
ชีวิตที่ เป็นแบบนี้ คงไม่ว่ากัน
ก็ชีวิตมันเป็นของเรา

มันต้องเลือกเอา ก็ตัวของเราก็ใจของใครของมัน
ชีวิตที่เป็นแบบนี้ คงไม่ว่ากัน
กับ ชีวิตที่ยังมี ชีวิตที่อยากเป็น ชีวิตมันเป็นของเรา

สำหรับ ชีวิต เราไม่รู้ว่ามีเวลาเท่าไหร่ แต่เมื่อเวลาหมด ก็คือ จบ เมื่อจบ ก็คือ ตาย

ดังนั้น ไม่มีอะไรที่ไม่มีวันจบ

เชื่อว่า เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตมนุษย์

เพลง ว่าไว้ "...ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ..."
หากพูดแง่ของการให้กำลังใจ อาจจะถูกต้อง ว่า เรายังมีวันพรุ่งนี้ให้แก้ไขเรื่องที่พลาดในวันนี้ได้เสมอ
แต่ หากพูดในแง่ของเวลา "วันพรุ่งนี้ของเราอาจจะไม่มีก็ได้"

ในเมื่อ ชีวิตอาจไม่ได้มีพรุ่งนี้เสมอ เราก้ต้องคิดแล้วหล่ะว่า...
เราจะใช้ ทรัพยากร อันมีค่าของเรา ให้คุ้มค่า สำหรับเราอย่างไร ?

ทีนี้ ลองถามตัวเอง ว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราคิดว่าคุ้มค่ากับการมีชีวิต ?

สำหรับผมเชื่อว่าคำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือคำว่า "พอใจ"
เมื่อ "พอใจ" เราก็จะไม่เกิดทุกข์ นั่นคือมีความสุข แต่เมื่อ "ไม่พอใจ" อาจจะเกิดสิ่งชั่วร้ายตามมาหลายอย่าง นั่นคือทุกข์

ไม่อยากจะอ้างอิง ทฤษฎี "เศรษฐกิจพอเพียง" แต่เชื่อความว่า "พอเพียง" ทำให้เกิด "พอใจ" เมื่อ "พอใจ" ก็คือ "สุข" เมื่อเราใช้เวลาอย่างมีความสุข นั่นก็คือเราใช้ทรัพยากรของเราอย่าง "คุ้มค่า" ที่สุดแล้ว ไม่มีพรุ่งนี้ก็ไม่เสียดาย


จงใช้ชีวิตอย่าง "พอใจ"

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ละอายต่อบาป เกรงกลัวในบาป

หิริ ความละอายแก่ใจในการทำบาป
โอตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อผลแห่งบาป

ธรรมทั้งสองประการนี้ทรงแสดงว่า เป็น โลกปาลธรรม คือธรรมที่รักษาคุ้มครองโลก คือหมู่สัตว์ให้อยู่ร่วมต่อกันอย่างปกติสุขตามสมควร

นอกจากจะเรียกว่าเป็นโลกปาลธรรมแล้ว ยังถือว่าเป็น เทวธรรม คือธรรมที่จะสร้างคนให้เป็นเทพบุตรเทพธิดาด้วยร่างกายที่เป็นมนุษย์นี่เอง

หาก เราสังเกตให้ดีจะพบว่า หิริโอตัปปะ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจของคนทุกคน ในลักษณะที่ค่อยเกิดขึ้นมาตามลำดับ ท่านจึงเรียกธรรมสองประการนี้ว่า มโนธรรม คือธรรมที่เกิดมีอยู่ภายในจิต

หิริ โอตัปปะ เป็นมโนธรรมนี้เองที่แยกให้แตกต่างจากสัตว์ ในด้านพฤติกรรมที่ปรากฏออกมาด้านกาย วาจา เพราะใจประกอบด้วยความสำนึกอันมีหิริโอตัปปะเป็นหลักยึดเหนี่ยว

ผมเชื่อว่า การที่คนเราละอายต่อการทำบาป ละอายต่อการทำความผิด นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด ประเทศบ้านเมืองไมจำเป็นต้องมีกฏเกณฑ์ อะไรมากมายหากคนเราละอาย และเกรงกลัวต่อการทำบาบ เพราะนั่นทำให้คนเราเกรางกลัวที่จะทำมาจากในใจของตนเอง เราไม่สามารถจะไปควรคุมคนอื่นได้ แต่เราสามารถควบคุมการการทำของตัวเราเองได้ ผมเชื่อว่าคนเราเกิดมาไม่นาน และการมีชีวิตอยู่ในโลก คือโอกาสของการได้กระทำความดี ทำดี คิดดี คิดให้มีความสุข จิตใจผ่องใส่ นั่นคือสิ่งที่คนเราควรทำ ผมว่าชีวิตเราอยู่ง่ายๆครับ 1.ไม่ฆ่าสัตว์ 2.ไม่ลักทรัพย์ 3.ไม่ประพฤติผิดในกาม(แย่งลูกเมียคนอื่น) 4.ไม่พูดปด 5.ไม่ดื่มสุรา แค่นี้ชีวิตก็อย่สบายและมีสุขแล้ว ผมจะขอเพิ่มอะไรเข้าไปนิดนึงครับ นั่นคือ ลองคิดก่อนเราจะทำอะไรทุกๆอย่าง ว่า กับ สิ่งที่เรากำลังจะทำ ถ้าคนไทยทุกคนทำเหมือนเรา เมืองไทยเราจะเป็นอย่างไร ถ้าลองคิดดูแล้วว่า มันเป็นเรื่องดี จะนำพามาซึ่งความสุขแล้วล่ะก็ ทำไปเถอะ แต่ถ้ามันเป็นทางตรงกันข้าม อย่าทำเลย บันฑิต บางคนบอกว่า มันคือ คำที่ใช้เรียกคนที่ร่ำเรียนจบ ปริญญาตรี แต่ในความเป็นจริง ที่เรียก บัณฑิต ได้นั้น คนๆนั้น จะต้องมีความรู้ เพราะ บัณฑิตนั้น แปลว่า ผู้รู้ แล้วรู้อะไร.. รู้ว่าสิ่งใหนควร สิ่งใหนไม่ควร สิ่งใหนถูก สิ่งใหนผิด สิ่งใหนควรทำ สิ่งใหนไม่ควรทำ และ ควรทำเวลาใด และที่สำคัญที่สุด บัณฑิตต้องรู้จักกาล รู้จักบุคคล รู้จักสถานที่ รู้จักกาล คือ รู้ว่าเวลาใหน ตอนใหน ควรทำอย่างไร วางตัวเช่นไร จึงจะเหมาะสม รู้จักบุลคล คือ รู้ว่ากับบุลคลเช่นนี้ เราควรปฏิบัติตนกับเค้าอย่างไร ควรทำอย่างไร วางตัวเช่นไร จึงจะเหมาะสม รู้จักสถานที่ คือ อยู่ ณ ที่แห่งนี้ เราควรทำอะไร ควรทำอย่างไร วางตัวเช่นไร จึงจะเหมาะสม อะไรดี อะไรเลวง่ายๆ แค่ลองคิดดูว่า หากทุกคนทำแบบที่เรากำลังจะทำ มันจะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดว่าหลังตาแล้วเห็นแต่ความวิบัติ นั่นล่ะ เค้าเรียกว่า สิ่งเลว แต่หากเห็นแต่ สิ่งดีสิ่งงาม นั่นล่ะ คือ สิ่งดีที่เรา ควรจะทำ แต่ก็มีบางคนอ้างเอาเรื่องทำชั่วมาเป็นเรื่องดี อ้างถึงความจำเป็น ในทางศาสนาไม่เคยมีข้ออนุโลมใดๆในเรื่องเหล่านี้ มีเพียงการให้แยกแยะให้สะกดใจ ยับยั้งไม่หลงไปกับสิ่งที่ชั่วร้าย หากใจอ่อนลงไม่ว่าด้วยเหตุใดก็นับว่าชั่วหมด ให้ดูปลายทาง อาจจะดูเหมือนสุข แต่ให้ดูปลายทาง


ทำเลว แม้ไม่มีคนเห็น มันก็เป็นสิ่งเลววันยังค่ำนั่นล่ะ และ ผมเชื่อในเรื่องกรรมที่หากใครทำแล้วจะหนีมันไม่เคยพ้น ยิ่งเดี๋ยวนี้กรรมนั้นมันเร็วเสียเหลือเกิน...อนิจา

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หลักการทรงงาน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว







พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า การที่พระมหาชนกจะเสด็จออกทรงแสวงโมกขธรรม ยังไม่ถึงวาระเวลาอันสมควร เพราะว่าได้ทรงสร้างความเจริญแก่มิถิลายังไม่ครบถ้วน กล่าวคือ

ข้าราชบริพาร “ นับแต่อุปราชจนถึงคนรักษาช้างคนรักษาม้า และนับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอมาตย์ ล้วนจาริกในโมหภูมิทั้งนั้น. ไม่มีความรู้ทั้งทางวิทยาการทั้งทางปัญญา ยังไม่เห็นความสำคัญของผลประโยชน์แท้ แม้ของตนเอง จึงต้องตั้งสถานอบรมสั่งสอนให้เบ็ดเสร็จ.”
คัดจากบางส่วนของพระราชปรารภ จากพระราชนิพนธ์ เรื่อง พระมหาชนก
๙ มิถุนายน ๒๕๓๙

"พระมหาชนก ทรงมีพระราชดำริว่า การศึกษาที่ถูกต้องเท่านั้น จึงจะเป็นหนทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืน"

ข้าพเจ้าจึงขอนำหลักทรงงานของพระองค์มาเผยแผ่ เพื่อเป็นประโยชน์ แก่ท่านทั้งหลาย

ทำงานอย่างผู้รู้จริง

ให้ ศึกษางานที่จะทำให้ดี อย่าผลีผลาม ความรู้จะหยุดนิ่งไม่ได้ ต้องขวนขวาย ต้องเก็บบันทึกไว้ แล้วนำกลับมาใช้ประโยชน์ "ความรู้" ต้องพัฒนาอยู่เรื่อยๆ ต้องรู้หมดและรู้อย่างแท้จริง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น การที่จะพระราชทานโครงการใดโครงการหนึ่งจะทรงศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่าง รอบคอบและครบถ้วน ทั้งจากข้อมูลเบื้องต้น จากเอกสาร แผนที่ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้องและตรงกับความเป็นจริง เพื่อที่พระองค์จะได้พระราชทานความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วตรง ตามที่ประชาชนต้องการ ซึ่งนั่นก็คือ ไม่ว่าเราจะทำอะไรต้องรู้จริง ศึกษาให้เข้าใจ แล้วจึงลงมือปฏิบัติ

ระเบิดจากข้างใน


คือ การทำสิ่งใดต้องสร้างฐาน ต้องเริ่มจากความพร้อม ความเห็นพ้องต้องกันในกลุ่มเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยๆ ก่อ จะมั่นคงถาวร พระองค์ทรงมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาคน ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า "ต้องระเบิดจากข้างใน" นั้นหมายความว่า ต้องสร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชนที่เราเข้าไปพัฒนา ให้มีสภาพพร้อมที่จะรับการพัฒนาเสียก่อน แล้วจึงค่อยออกมาสู่สังคมภายนอก มิใช่การนำเอาความเจริญหรือบุคคลจากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชน หมู่บ้าน ที่ยังไม่มีโอกาสเตรียมตัวหรือตั้งตัว

อดทน มุ่งมั่น


ให้ รู้จักอดทน ทำจนเป็นนิสัย ไม่ว่าสิ่งดีๆ ที่เข้ามา ทุกข์ที่เข้ามา สุขที่เข้ามา เราก็รับด้วยใจสงบ ไม่ตื่นเต้นหรือกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา เหมือนดังคำว่า "ธรรมะ" ซึ่งนั่นก็คือ ธรรมชาติ ธรรมดา นอกจากนี้ หากเกิดปัญหา เราก็ทำจิตใจให้รู้สึกท้าทายกับปัญหานั้น เห็นปัญหาแล้วกระโดดเข้าใส่เป็นการท้าทายสติปัญญา อย่ากลัวปัญหาและละลายปัญหาจากเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย

อ่อนน้อม ถ่อมตน เรียบง่ายและประหยัด


ซึ่ง เป็นสิ่งสำคัญ เช่น นาฬิกาข้อพระกรที่พระองค์ทรงใช้ ไม่จำเป็นต้องราคาแพง แต่ทรงเน้นที่ประโยชน์ของการบอกเวลา ทรงอ่อนน้อมถ่อมพระองค์มาก เวลาที่เสด็จฯ เยี่ยมราษฎร ทรงโน้มพระวรกาย คุกเข่า และประทับพับเพียบเข้าหาประชาชน ในการพัฒนาและช่วยเหลือราษฎรทรงใช้หลักในการแก้ไขปัญหาด้วยธรรมชาติ เรียบง่ายและประหยัด ราษฎรสามารถทำได้เอง หาได้ในท้องถิ่น และประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้นมาแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องลงทุนสูง หรือใช้เทคโนโลยีที่ยุ่งยากนัก

ซื่อสัตย์ สุจริต กตัญญู


พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกตัญญูต่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบรมวงศ์มาก ทรงให้ความสำคัญในเรื่องความซื่อสัตย์มาก ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า

"...ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียว ก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป พูดอย่างนี้หยาบคาย แต่ว่าต้องให้มีอันเป็นไป แต่ถ้าไม่ทุจริต สจริตและมีความตั้งใจมุ่งมั่น สร้างความเจริญ ก็ขอต่ออายุให้ถึง ๑๐๐ ปี ...ความสุจริตจะทำให้ประเทศไทยรอดพ้นอันตราย ภายใน ๑๐ ปี เมืองไทยน่าจะเจริญ ข้อสำคัญต้องยึดความสุจริตให้สำเร็จ และไม่ทุจริตเสียเอง....

รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและเคารพความคิดที่แตกต่าง

ใน ทุกครั้งที่เสด็จฯ ไปในพื้นที่ต่างๆ ทรงทำประชาพิจารณ์ (Public Hearing) ทุกครั้ง โดยวิธีการของพระองค์นั้นเป็นวิธีที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา โดยจะทรงอธิบายถึงวัตถุประสงค์และผลที่ได้รับจากโครงการพัฒนากับพสกนิกรที่ มาเฝ้าฯ ล้อมรอบอยู่ หลังจากนั้นจะทรงถามถึงความต้องการของประชาชน ความสมัครใจและให้ตกลงกันเองในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์และกลุ่มที่จะต้อง เสียสละในขณะนั้นเลย พร้อมทั้งทรงการแผนที่เพื่อตรวจสอบถึงข้อมูลและข้อเท็จจริงของสภาพ ภูมิประเทศ และหลังจากนั้นก็จะทรงเรียกผู้นำท้องถิ่นและฝ่ายปกครองให้มารับทราบและ ดำเนินการในขั้นต้น ก่อนที่จะพระราชทานให้หน่วยงานปฏิบัติที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเชิงบริหาร และวิชาการต่อไปจนเสร็จสิ้นโครงการ

"...มีคนบอกว่าโครงการพระราชดำริ แตะต้องไม่ได้ ข้อนี้เป็นความคิดที่ผิดหรือเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะหากโครงการพระราชดำริแตะต้องไม่ได้ เมืองไทยไม่เจริญ..."


ความตั้งใจจริงและมีความเพียร

ทำ งานต้องมีความตั้งใจ อย่าทำงานไปวันๆ ตั้งใจทำงานจะทำให้มีแรง มีกำลังใจ และต้องขยันหมั่นเพียร งานบางอย่างยาก แต่ก็ต้องฟันฝ่าไปให้ได้ ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานข้อคิดเกี่ยวกับความเพียรใน พระราชนิพนธ์เรื่อง "พระมหาชนก" ความตอนหนึ่งว่า

"...คนเราทำอะไร ต้องมีความเพียร แม้ไม่เห็นฝั่งก็ต้องว่ายน้ำและมีคำตอบอยู่ว่ามีประโยชน์อย่างไร เพราะถ้าหากไม่เพียรที่จะว่ายน้ำเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน ก็จะไม่พบเทวดา คนอื่นไม่มีความเพียรที่จะว่ายน้ำ ก็จมเป็นอาหารของปลา ของเต่า เพราะฉะนั้น ความเพียรแม้จะไม่ทราบว่าจะมีถึงฝั่งเมื่อไร ก็ต้องเพียรว่ายน้ำต่อไป..."
คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม


โดย ต้องคิดให้ดี ให้ลึกซึ้ง อย่างเช่นโครงการเขื่อนป่าสักฯ เป็นการดำเนินโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่เป็นตัวอย่างที่ดี ที่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและไม่ได้ละเลยคนส่วนน้อยที่ต้องเสียสละเพื่อ ส่วนรวม เมื่อส่วนรวมได้ประโยชน์อย่างมากมาย คนส่วนรวมต้องช่วยคนกลุ่มเล็กที่เสียสละอย่างเต็มที่

"...การปฏิบัติ งานทุกอย่างของข้าราชการ มีผลเกี่ยวเนื่องถึงประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมืองและประชาชนทุกคน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่ข้าราชการทุกคนจะต้องทำหน้าที่ทุกๆประการให้ บริสุทธิ์ บริบูรณ์โดยเต็มกำลังสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ เพื่อผลการปฏิบัติราชการทุกอย่างจักได้บรรลุความสำเร็จอย่างสูงและบังเกิด ประโยชน์อย่างดีที่สุดแก่ตนเอง แก่หน้าที่และแก่แผ่นดิน..."

เข้าใจความต้องการของประชาชน


ถ้า ประชาชนไม่ต้องการอย่าไปยัดเยียดอะไรให้ ดังเช่นการดำเนินงานโครงการต่างๆ ให้แก่ประชาชนนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานพระราชดำริแก่หน่วยงานที่เกี่ยว ข้องอยู่เสมอๆ ว่า

"...การเข้าใจถึงสถานการณ์ของผู้ที่เราจะช่วย เหลือนั้นเป็นสิ่ง สำคัญที่สุด การช่วยเหลือให้เขาได้รับสิ่งที่เขาควรจะได้รับตามความจำเป็นอย่างเหมาะสม จะเป็นการช่วยเหลือที่ได้ผลที่สุด... อีกประการหนึ่งในการช่วยเหลือนั้น ควรยึดหลักสำคัญว่า เราจะช่วยเขาเพื่อให้เขาสามารถช่วยตนเองได้ต่อไป..."

พึ่งตนเอง


พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอนให้ชาวไทยสามารถดำรงชีวิตด้วยตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งตนเองทั้งทางด้านจิตใจ ที่ต้องเข้มแข็ง มีจิตสำนึกที่ดี สร้างสรรค์ให้ตนเองและชาติโดยรวม ด้านสังคม ก็ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายชุมชนที่แข็งแรงเป็นอิสระ หรือแม้กระทั่งด้านเศรษฐกิจที่ต้องมุ่งลดรายจ่ายก่อนเป็นสำคัญ และยึดหลักพออยู่ พอกิน พอใช้และสามารถอยู่ได้ด้วยตนเองในระดับพื้นฐาน ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า

"...ยืนบนขาของตัวเอง (ซึ่งแปลว่าพึ่งตนเอง) หมายความว่าสองขาของเรานี่ ยืนบนพื้นให้อยู่ได้ไม่หกล้ม ไม่ต้องไปขอยืมขาของคนอื่นมาใช้สำหรับยืน..."

ส่งเสริมคนดีและคนเก่ง


ควร ให้การสนับสนุนส่งเสริมผู้ปฏิบัติงาน เพราะคนดี คนเก่ง จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาความเจริญในด้านต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ดังพระราชดำรัสที่ว่า "...ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด หากอยู่แต่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้..."

การเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน


ต้อง คิดถึงคนอื่นบ้าง อย่าคิดถึงแต่ตัวเอง เห็นแก่ตัวอย่างเดียวอยู่ไม่รอด ต้องรู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริแก่คนไทยไว้ว่า "...สังคมใดก็ตาม ถ้ามีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน สังคมนั้นย่อมเต็มไปด้วยไมตรีจิต มิตรภาพ มีความร่มเย็นเป็นสุข น่าอยู่..."

อีกทั้งทรงรับสั่งอยู่เสมอเกี่ยว กับการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ว่า ที่พระองค์ทรงทำอยู่นั้นทรงใช้หลักสังฆทาน ความหมายนี้ลึกซึ้งมาก คือ "ให้เพื่อให้" พระองค์ไม่เคยนึกว่าเมื่อให้แล้วจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ หลักสังฆทานให้โดยไม่เลือก ในฐานะเพื่อนมนุษย์ผู้ประสบความทุกข์ยากก็มีโครงการเข้าไปช่วยเหลือ ให้เพื่อให้จริงๆ ไม่ได้ให้เพื่อคิดหวังอะไรตอบแทน

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง


คือ ยึดความพอดี พอเพียง พอควร เป็นที่ตั้ง อย่าทำอะไรให้ล้นเกินพอดี เศรษฐกิจพอเพียงอธิบายอย่างง่ายที่สุด คือ ถ้ากินมากก็จุก ไม่กินหรือกินน้อยก็หิวโหย ทำอะไรให้พอดี แต่ต้องทำอย่างเต็มศักยภาพที่แต่ละคนมีอยู่ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนใน ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์

"...พอ เพียงนี้ความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอดังนั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิด อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียงหมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข..."

ภูมิสังคม


การ พัฒนาใดๆ ต้องสอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนั้นๆ เนื่องจากแต่ละแห่งคนไม่เหมือนกัน ต้องคำนึงถึงสภาพภูมิประเทศของบริเวณนั้นว่าเป็นอย่างไร และสังคมวิทยาเกี่ยวกับลักษณะนิสัยใจคอของคน ตลอดจนวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีก็ไม่เหมือนกัน ทรงใช้คำว่า "ภูมิสังคม" คือ ทรงดูลักษณะภูมิศาสตร์และลักษณะของสังคม ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า

"...การ พัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศทางภูมิศาสตร์ และภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ ในสังคมวิทยา ภูมิประเทศตามสังคมวิทยาคือ นิสัยใจคอของคนเรา จะไปบังคับให้คนคิดอย่างอื่นไม่ได้ เราต้องแนะนำ เราเข้าไปช่วย โดยที่จะคิดให้เขาเข้ากับเราไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าไปแล้ว เราเข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไรจริงๆ แล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจหลักการของการพัฒนานี้ ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง..."

รู้ รัก สามัคคี


รู้ คือ รู้ต้นเหตุ รู้ปปลายเหตุ แล้วถึงเริ่มทำงาน จะได้มีประสิทธิภาพ ต้องรู้ถึงปัจจัยทั้งหมด ทั้งรู้ถึงปัญหา และรู้ถึงวิธีการแก้ไขปัญหา

รัก คือ ความรัก ความเมตตา ซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการกระทำ และไปลงมือปฏิบัติแก้ไขปัญหานั้นๆ อีกทั้งความรักที่มีความเมตตากรุณาเป็นพื้นฐาน ก็สามารถนำไปสู่ความปรารถนาที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลสนับสนุนให้บุคคลอื่น บรรลุประโยชน์ หรือเข้าถึงจุดหมายของชีวิตของเขาในระดับต่างๆ ได้

สามัคคี คือ การที่จะลงมือปฏิบัตินั้น ควรคำนึงเสมอว่า เราจะทำงานคนเดียวไม่ได้ ต้องทำงานร่วมมือร่วมใจเป็นองค์กร เป็นหมู่คณะ จึงจะมีพลังเข้าไปแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี

เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา


เป็น สิ่งที่ต้องเข้าใจก่อน การพัฒนาในด้านต่างๆ ต้องเข้าใจภูมิประเทศ เข้าใจคน เข้าใจหลักปฏิบัติและที่สำคัญ เราเข้าใจเขาและจะต้องทำอย่างไรให้เขาเข้าใจเราด้วย เราเข้าถึงเขาแล้ว ต้องทำอย่างไรให้เขาอยากเข้าถึงเราด้วย เมื่อเข้าใจกันแล้วก็สามารถที่จะนำไปสู่การพัฒนาในขั้นต่อไปได


ปลูกป่าในใจคน


เป็น การปลูกป่าลงบนแผ่นดิน ด้วยความต้องการอยู่รอดของมนุษย์ ทำให้ต้องการบริโภคและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง เพื่อประโยชน์ของตนเองและสร้างความเสียหายให้แก่สิ่งแวดล้อม ไม่รู้จักพอ ปัญหาความไม่สมดุลจึงบังเกิดขึ้น ดังนั้นในการที่จะฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้กลับคืนมาจะต้องปลูกจิตสำนึกใน การรักผืนป่าให้แก่คนเสียก่อน ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า "...เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดิน และรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง..."


ไม่ติดตำรา

การพัฒนาตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว มีลักษณะของการพัฒนาที่อนุโลมและรอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสภาพของสังคมจิตวิทยาแห่งชุมชน คือ ไม่ติดตำรา ไม่ผูกมัดติดกับวิชาการและเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ ที่แท้จริงของคนไทย


ทำงานอย่างมีความสุข


พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเกษมสำราญ และทรงมีความสุขทุกคราที่ได้ช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเคยรับสั่งครั้งหนึ่งว่า "...ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกัน ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น..."


ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีแห่งการครองราชย์ เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วกันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ ที่พรั่งพร้อมด้วยทศพิธราชธรรม มีสายพระเนตรกว้างและยาวไกล และมีพระอัจฉริยภาพในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ทรงมุ่งมั่นตรากตรำ เสียสละและทุ่มเทพระวรกายเพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนให้แก่ พสกนิกรทุกหมู่เหล่า ก่อให้เกิดประโยชน์อันใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและประชาชนเป็นอเนกอนันต์







วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทางออกของความรัก



แม้คนสองคนจะรักกันมาก แต่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกให้มากมาย และไม่จำเป็นต้องทำเพื่อกันและกันมากเกินไป ความรักที่แท้จริง คือการสร้างและแบ่งปันความสุขให้แก่กัน ทีละเล็กทีละน้อย แต่สม่ำเสมอและเนิ่นนาน ไม่ใช่การมอบความสุขอนเปี่ยมล้นให้แก่กันเพียงไม่กี่ครั้ง แล้วความสุขนั้นก็ต้องจบลงในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ
ความสุขที่แท้จริงของความรัก เกิดจากหัวใจสองดวงที่มั่นคง ไม่ใช่การพยายามจะพิสูจน์ เมื่อคนสองคนทำเพื่อกันและกันอย่างพอดี ทั้งผู้ให้และผู้รับก็จะมีความสุขร่วมกัน

ไม่มีใครต้องคิดหนัก
ไม่มีใครต้องเหนื่อย
ไม่มีใครต้องรู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบหรือสูญเสีย
ไม่มีใครต้องหวังสิ่งตอบแทน หรือเรียกร้องให้อีกฝ่ายต้องให้อะไรกลับคืน




ความสุขที่แท้จริงของความรัก คือการเรียนรู้จักและหยิบยื่นสิ่งดี ๆ ให้กันและกัน อย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้สิ่งเล็กน้อยก็จะไม่เคยดูเหมือนน้อยไป ถ้าหากว่าหัวใจของทั้งสองคนรู้จักคำว่า...เพียงพอ ก่อนจะเรียกร้องอะไรมากมายจากความรัก ลองถามตัวเองดูก่อนว่า...สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ คือความรักที่มั่นคงเนิ่นนาน หรือความรักที่แสนสุขหวานหวือหวาแต่ในไม่ช้าก็จะลาจากเราไป



ทุกอย่างที่เราได้รับมา จะดูเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ ขึ้นอยู่ที่หัวใจเราจะมองเห็นคุณค่า หากใครบางคนมีความหมายกับเราอย่างแท้จริง แม้สิ่งที่เขาทำให้จะเล็กน้อยแค่ไหน มันก็ทำให้เราสุขหัวใจเหลือเกิน

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นำพาชีวิตดีดี


สูตรนำพาชีวิตดีดี....มีอย่างนี้

๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัว เองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขา มีความทุกข์

ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับ เรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลก ในแง่ร้าย, ก็ ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิด ทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไร เกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอา จริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขา ไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่า เสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับ เรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่า มันจะทำให้คุณ ผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอน หลับ
๗. ความ รู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณ จำเป็นต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่อง ขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามี หรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีต ของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศ สงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียน รู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งมาแล้วก็หาย ไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอด ชีวิต
๑๓. จง ยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถก เถียงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่าง พอกัน ได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร


แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้าง เราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่ เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหา สุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็น อันขาด
และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำ ดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์,จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผล ทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยว มันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุก จากเตียง, แต่ง ตัวและปรากฎตัวต่อหน้า คนที่เราร่วมงาน ด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุข เสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไป ทำไมเล่า
จาก FW. mail ดีดี

La Belle: promising

La Belle: promising: " สวัสดี.. เพื่อนๆทุกคนค่ะ ไม่ได้อัพเดทมาเป็นวีค ไม่รู้จะมีใครคิดถึง โอบอุ้ม กับ บัว มั้ย น้อ??? เรามาเริ่มกันที่ ดินเนอร์ ของเราทั้..."