ชีวิตมีหลายสิ่งที่น่าสนใจ



love is the flower for which love is the honey : victor hugo

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทำบุญใส่บาตร

เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระธรรมแล้ว ทรงเทศนาสั่งสอนพุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระสงฆ์พุทธสาวกเป็นผู้รับมรดก ได้จดจำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้ พระพุทธศาสนาจึงดำรงอยู่ได้ตลอดจนกระทั้งปัจจุบันนี้ 

พระสงฆ์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นพุทธสาวก ดำรงชีวิตอยู่ได้ก็เพราะปัจจัยต่างๆ ที่เหล่าวชาวพุทธทั้งหลายพากันจัดถวาย ตราบใดที่ชาวพุทธยังบริจาคปัจจัยช่วยอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์ก็ยังสามารถศึกษาเล่าเรียนรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ตราบนั้น และเมื่อใดชาวพุทธ เลิกบริจาคปัจจัยช่วยอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์ เมื่อนั้นพระสงฆ์ก็ย่อมดำรงชีพอยู่ไม่ได้ พระพุทธศาสนาก็จะอันตรธานเสื่อมสูญไปอย่างแน่นอน 




การทำบุญใส่บาตรประจำวัน 

การที่ชาวพุทธทั้งหลายช่วยกันบริจาคปัจจัยอุปถัมภ์บำรุงด้วยการทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์ในตอนเช้าของทุกๆ วัน นับได้ว่าเป็นหนึ่งที่ได้ช่วยกันสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ และให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป 

การใส่บาตรประจำวัน นับเป็นวิธีการสร้างบุญวาสนาบารมีอันจะเป็นบุพเพกกตปุญญตาสำหรับตนต่อไปอนาคตโดยตรง และเป็นผลดีที่ได้ช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนาโดยอ้อม 


ปกติการใส่บาตรประจำวัน นิยมทำตามกำลังศรัทธา และตามความสามารถแห่งกำลังทรัพย์เท่าที่จะทำได้ โดยไม่เกิดความเดือดร้อน ในการครองชีพ 



การทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์  ประกอบด้วย องค์คุณ 3 ประการ คือ 


๑. ปัจจัยสิ่งของสำหรับทำบุญบริสุทธิ์ 


๒. เจตนาของผู้ถวายบริสุทธิ์ 


๓. พระภิกษุสามเณรเป็นผู้บริสุทธิ์ 





ปัจจัยสิ่งของสำหรับทำบุญบริสุทธิ์ 



หมายถึงที่มาแห่งปัจจัยนั้นๆ หรือวัตถุสิ่งของที่นำมาทำบุญนั้น ต้องได้มาโดยชอบ ดังมีลักษณะดังนี้ 


๑. เงินที่นำมาใช้จ่าย ซื้อหาวัตถุสิ่งของเหล่านั้น ต้องเป็นเงนที่ได้มาด้วยการประกอบสัมมาอาชีวะ เกิดจากหยาดเหงื่อและแรงงานของตนโดยตรง 


๒. ของที่นำมาทำบุญนั้น เป็นของบริสุทธิ์ กล่าวคือไม่ได้เบียดเบียนชีวิตคนและสัตว์อื่นๆ อาทิ ฆ่าสัตว์มาทำบุญ ขโมยข้าวของมาทำบุญ ฯลฯ 


๓. สิ่งของที่นำมาทำบุญนั้น ต้องเป็นของที่มีคุณภาพดี และเป็นส่วนที่ดีที่สุดในบรรดสิ่งของที่มีอยู่ อาทิ ข้าวสุกที่จะนำมาใส่บาตรนั้นควรเป็นข้าวปากหม้อ แกงก็เป็นแกงถ้วยแรกที่ตักออกจากหม้อ ฯลฯ 


๔. วัตถุสิ่งของนั้น ควรแก่สมณบริโภค ไม่เกิดโทษแก่พระภิกษุสามเณร และมีปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการ 



เจตนาของผู้ถวายบริสุทธิ์ 

เจตนา หมายถึง ความจงใจหรือความตั้งใจของผู้ทำบุญนั้นต้องบริสุทธิ์ในเวลาทั้ง ๔ กล่าวคือ 

๑. ปุพพเจตนา หมายถึง ความตั้งใจก่อนจะทำบุญ มีความเลื่อมใสศรัทธา ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เสียดมเสียดาย 


๒. มุญจนเจตนา หมายถึง ความตั้งใจขณะทำบุญ มีความเลื่อมใสศรัทธา มีความปลื้มปีติในการทำบุญ 


๓. อปรเจตนา หมายถึง ความตั้งใจภายหลังการทำบุญไปแล้วภายใน ๗ วัน ได้ระลึกถึงการทำบุญที่ล่วงมาแล้ว มีปลี้มโสมนัสในบุญกุศลนั้นอย่างไม่เสียดาย 


๔. อปราปรเจตนา หมายถึง ความตั้งใจภายหลังการทำบุญไปแล้วเกิน 7 วันไปแล้ว แม้จะเป็นเวลาเนิ่นนาน เมื่อหวนระลึกนึกถึงการทำบุญครั้งใด ก็ปลาบปลื้มยินดีครั้งนั้น 



ผลานิสงฆ์เจตนาบริสุทธิ์ 

คนที่ทำบุญด้วยเจตนาหรือความตั้งใจบริสุทธิ์ทั้ง ๔ เวลาดังกล่าวนี้ ต่อไปในอนาคต เมื่อเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ ย่อมมีความสุขความเจริญ ตั้งแต่เกิดตลอดจนสิ้นอายุขัยในภาพและชาตินั้นๆ 





พระภิกษุสามเณรผู้บริสุทธิ์


หมายถึง พระภิกษุสามเณรอันเป็นบุญเขตนั้น เป็นผู้บริสุทธิ์ กล่าวคือ ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ โดยสิ้นเชิง อันหมายถึงพระอริยบุคคล หรือพระภิกษุสามเณร เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์และเป็นผู้กำลังปฏิบัติเพื่อกำจัด ราคะ โทสะ โมหะ 


วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

Just Feel Better Santana ft. Steven Tyler





She said I feel stranded

And I can't tell anymore

If I'm coming or I'm going

It's not how I planned it

I've got a key to the door

But it just won't open

And I know, I know, I know

Part of me says let it go

That life happens for a reason

I don't, I don't, I don't

Because it never worked before

But this time, this time

I'm gonna try anything to just feel better

Tell me what to do

You know I can't see through the haze around me

And I do anything to just feel better

And I can't find my way

God I need a change

And I do anything to just feel better

Any little thing that just feel better

She said I need you to hold me

I'm a little far from the shore

And I'm afraid of sinking

You're the only one who knows me

And who doesn't ignore

That my soul is weeping

I know, I know, I know

Part of me says let it go

Everything must have a season

Round and round it goes

And every day's the one before

But this time, this time

I'm gonna try anything that just feels better

Tell me what to do

You know I can't see through the haze around me

And I do anything to just feel better

I can't find my way

God I need a change

And I'd do anything to just feel better

Any little thing that just feel better

I'm tired of holding on

To all the things I ought to leave behind, yeah

It's really getting old, and

I think I need a little help this time!

[Guitar solo]

I'm gonna try anything to just feel better

Tell me what to do

You know I can't see through the haze around me

And I do anything to just feel better

And I can't find my way

God I need a change

And I do anything to just feel better

Any little thing that just feel better 

  เธอบอกว่าฉันแค่กำลังท้อกับชีวิต

และฉันก็บอกไม่ได้อีกต่อไปแล้วว่า

ฉันกำลังอยู่ หรือฉันกำลังจะไป

ทั้งหมดไม่ได้เป็นไปอย่างที่วางแผนไว้เลย

ฉันมีกุญแจที่ถูกต้องในมือแล้ว

แต่ประตูก็กลับไม่ยอมเปิด

และใช่ ฉันรู้ ฉันรู้ ฉันรู้

ส่วนหนึ่งในตัวฉันก็บอกว่าให้ปล่อยวาง

บอกฉันว่า ทุกอย่างในชีวิตมีเหตุผลโดยตัวของมัน

แต่ฉันไม่ ไม่ ไม่

เพราะแต่ไหนแต่ไร มันก็ไม่เคยได้ผลเลย

แต่คราวนี้เท่านั้น ครั้งนี้เท่านั้น...

ฉันจะยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อจะรู้สึกดีขึ้น

ไม่อย่างนั้นก็บอกฉันสิ ฉันควรทำอย่างไร

เธอก็รู้ว่า ฉันไม่อาจมองเห็นอะไรผ่านม่านหมอกมืดมัวนี้ได้

และฉันก็จะยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อจะรู้สึกดีขึ้น

และฉันก็มองไม่เห็นหนทางที่จะไปต่อ

พระเจ้า ฉันต้องการการเปลี่ยนแปลง

และฉันก็จะยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อจะรู้สึกดีขึ้น

ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพียงเพื่อจะรู้สึกดีขึ้น

เธอบอกว่า ฉันต้องการให้เธอกอดฉัน

ตอนนี้ ฉันออกมาจากชายฝั่งไกลเกินไป

และฉันก็หวาดกลัวว่าตนเองจะจมลงไป

เธอเป็นคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักฉัน

และคนเดียวที่ไม่เฉยชา

ต่อเสียงครวญไห้ของวิญญาณของฉัน

ฉันรู้ ฉันรู้ ฉันรู้

ส่วนหนึ่งในตัวฉันก็บอกให้ฉันปล่อยวาง

ทุกอย่างก็มีระยะเวลาของมัน

มันจะหมุนเวียนมา และผ่านไป

และทุกวันก็ไม่ต่างไปจากวันก่อน

แต่ครั้งนี้ ครั้งนี้เท่านั้น...

ฉันจะยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อจะรู้สึกดีขึ้น

ไม่อย่างนั้นก็บอกฉันสิ ฉันควรทำอย่างไร

เธอก็รู้ว่า ฉันไม่อาจมองเห็นอะไรผ่านม่านหมอกมืดมัวนี้ได้

และฉันก็จะยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อจะรู้สึกดีขึ้น

ฉันมองไม่เห็นหนทางใดที่จะไปต่อเลย

พระเจ้า ฉันต้องการการเปลี่ยนแปลง

และฉันก็จะยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อจะรู้สึกดีขึ้น

ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพียงเพื่อจะรู้สึกดีขึ้น

ฉันเหนื่อยต่อการพยายามยื้อยุด

สิ่งทั้งหมดทั้งมวลที่ฉันควรจะต้องตัดใจทิ้งไปแล้ว

เรื่องทั้งหมดเริ่มจะยาวนานเกินไปทุกที

และฉันก็คงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจริงๆ จังๆ แล้วคราวนี้

ฉันจะยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อจะรู้สึกดีขึ้น

ไม่อย่างนั้นก็บอกฉันสิ ฉันควรทำอย่างไร

เธอก็รู้ว่า ฉันไม่อาจมองเห็นอะไรผ่านม่านหมอกมืดมัวนี้ได้

และฉันก็จะยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อจะรู้สึกดีขึ้น

และฉันก็มองไม่เห็นหนทางที่จะไปต่อ

พระเจ้า ฉันต้องการการเปลี่ยนแปลง

และฉันก็จะยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อจะรู้สึกดีขึ้น

ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพียงเพื่อจะรู้สึกดีขึ้น

ขอให้เธอผ่านมันไปให้ได้.....ศาตร์ศิลป์

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

พี่หนาน.....ของผม


เดี๋ยวนี้สวดมนต์ทุกคืน แต่ถึงอย่างไรเวลาได้นอนคนเดียวก็ยังคงต้องเปิดไฟนอนตลอด ถึงแม้สวดมนต์แล้วก็ตาม   กลัวอะไรนักหนา   พี่หนาน(รุ่นพี่ท่านหนึ่งเสียชีวิตไปแล้ว)ถามอยู่บ่อยๆ ไม่กล้่าตอบแล้วเวลานี้

สมัยเรียนไม่ค่อยหลับ ค่อยนอน นั่งทำงาน(เรียน)หามรุ่ง หามค่ำ พอจบมาใหม่ๆ ก็ยังคงทำงานโน้นนี่ จนสว่างคาตา ก็หลายๆครั้ง ผ่านมาไม่เท่าไหร่ไวเหมือนโกหก เดี๋ยวนี้ แค่จะให้พ้น ห้าทุ่ม นี่ยังยาก แบบล้มแล้ว ล้มอีก เดี๋ยวนี้เลยไม่ค่อยได้รับงานมาทำจนมากมายนัก มันไม่ไหว(สังขารน่ะ)  ใช่ว่าเงินทองไม่อยากจะได้นะ

นึกถึงพี่หนาน สมัยเรียน จนถึง ทำงาน ได้เที่ยวเล่น พักพิง พึ่งพา กับแกไปบ่อยๆ นิสัยง่ายๆ อะไรดีไม่ดี พี่เล่นยิ้ม อย่างเดียว ไม่เคยโกรธใคร เรียกว่าใครทำให้แก โกรธล่ะ มันต้องเลวได้ที่หนึ่งจริงๆ พี่หนานทำงานอย่างเดียว จนลืม มีเมีย  กว่าจะรู้ตัวก็ปาเข้าไปสี่สิบกว่าๆกลางๆ แต่งปุ๊บก็มีลูกปั๊บ กลัวไม่ทันใช้  แล้ว ก็ไม่ทันจริงๆ   !!!

เวลาพี่หนานกินเหล้า เวลาเมาได้ที่ พี่จะร้องอยู่เพลงเดียว โอ้...ละหนอ ดวงเดือนเอย พี่มาเว้า รักเจ้าสาว คำดวง  โอ้...ดึกแล้วหนอ พี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นห่วงรัก เจ้าดวงเดือนเอย  "ลาวดวงเดือน"  ไม่รู้ฝังใจอะไรนักหนา ไม่เคยถาม รู้ๆกันว่าร้องเมื่อไร นั่น แกเมาได้ที่แล้ว   ช่วงหลังๆนานๆจะร้องที่นึง แบบว่าไม่ดื่มหนักเหมือนเก่า  ระวังตัว เป็นความดัน  

ห่างกันมาสักพัก ต่างคน ต่างทำงาน ต่างชีวิตกันไป นานๆพี่จะโทรมาถามไถ่ นานๆ น้องจะโทรไปหาสักที หลายๆครั้ง ร่ำๆจะนัดเจอ แต่เป็นอันแคล้วกันไปเสียเรื่อย  ไม่ว่ากัน

แล้วก็ไม่ได้นัดกันอีก จนมารู้ข่าว พี่หนาน "วูบ" ที่ทำงาน หลายคนช่วยกันส่งโรงพยาบาล แต่ไปถึงพี่แก ก็ไม่หายใจเสียแล้ว  พี่หนาน ไปเสียแล้ว  งานพี่น้องก็ไม่ได้ไป เพราะไม่รู้ ย้ายมาไกล ไม่มีคนส่งข่าว กว่าจะรู้ก็เลยมาค่อนเดือน  เผาพี่กันไปแล้ว  ได้แต่ใจหาย คิดถึงพี่คนดี ที่เตือนสติไว้หลายอย่าง และ เคยลุยไปด้วยกัน วีรกรรม วีรเวร เยอะ ไม่ขอกล่าวถึง(ให้เกียรติพี่หนานหน่อย)

รับรู้แค่เพียง พอพี่มีลูก พี่ก็ขยันมากขึ้น รับงานมาทำกลางคืนเสียมาก บ่อยเข้าร่างกายที่เป็นความดันอยู่แล้วเลยแสดงพิษสง เพียงแต่มันไม่มาแค่หยอกเอิน  มันเอาจริงพี่เลยลาโลกไปก่อนวัยอันควร

ขออุทิศเนื้อที่ตรงนี้ให้กับ พี่หนาน  น้องคนนี้จะจดจำพี่ไว้ตลอดไป และ ขอให้ดวงวิญญาณของพี่จงไปสู่สุขติ เถิด
 เสียงเพลงแว่วมา

ขอลาแล้ว... เจ้าแก้วโกสุม พี่นี้รักเจ้าหนอ ขวัญตาเรียม
จะหาไหน มาเทียม โอ้...เจ้าดวงเดือนเอย 

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

" เมื่อฉันแก่ตัวลง "




  อยากจะมอบเรื่องนี้ให้กับผู้ที่ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้าน

  เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของลุกผู้ชายคนหนึ่งที่ตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ
แม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้น โลกใบนี้เริ่มเล็กลง
แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิม(ในเมืองจีน)ก็เริ่มแก่ตัวลง
  ลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่
ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมาย โชคดีต่อมามีไอพีการ์ด เลยได้คุยสดกันบ้าง
ทุกครั้งแม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเอง ตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่
ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง... ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ
เขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามาก

  จนกระทั่งปีนี้ แม่อายุ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่ โดยตั้งใจว่าจะอยู่สัก
1 เดือน จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว
  พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ
แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก
แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ
ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่... สำหรับคนอายุ 75
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

  พอกลับถึงบ้าน ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง
แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง หน้าตาเหี่ยวย่น
ช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย...
  แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ โดยที่หาทราบไม่ว่า
เดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี
รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท
ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย แม่หารู้ไม่ว่า
เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร
เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆ
  สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก
แม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น
10กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว
แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม

  "เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา
อาหารบางจานมีแมลงวันด้วย บางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิม
ครั้นผมพยายามชวนแม่ไปกินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด ของแปลกปลอมเยอะ
เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน แม่ก็โวยวายว่า
แม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้อื่นได้เลย ผมเลยพูดไม่ออก
พอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวัน
พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย..."

  "พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัย แม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน
ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า แม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว
แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆบ้าง...  ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่
ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะ
พอผมขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จา ในตามีแววเหม่อลอย
โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ"

  "ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา
ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอก
แม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอก
ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆ แม่จะตัดข่าวเก็บไว้
ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมา แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมือง
ต้องระวังตัวให้มากๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีน
มีการปะทะกันด้วย แม่เป็นห่วงมากถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไร
ตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น"

  แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบาก
วางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง มันหนักมาก ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ
เพราะผมไม่อยากนำกลับไป มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
ผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย
อ่านได้วันละ 2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้
ทันใดนั้นมีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา แม่รีบเอื้อมไปหยิบ
แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง
  ผมรู้สึกเอะใจ เลยถามว่า " แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ"
แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้น
แล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที

  ผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู มันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า " เมื่อฉันแก่ตัวลง"
ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004
เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที
บทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโก ฉบับเดือนพฤศจิกายน
ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที ....

  เมื่อฉันแก่ตัวลง ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน
มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด
   ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า
ขอให้คิดถึงตอนแรกๆที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง

  ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆที่เธอรู้สึกเบื่อ ขอให้อดทนสักนิด
อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ จนเธอหลับเลย

ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้  อย่าตำหนิฉันเลยนะ ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ
ฉันต้องทั้งออดทั้งปลอบเพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม

  ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ อย่าหัวเราะเยาะฉัน จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม " ทำไม
ทำไม" ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม

  ตอนฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน
เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ

  หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่ ให้เวลาฉันคิดสักนิด
ที่จริงสำหรับฉันแล้ว กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน
ฉันก็พอใจแล้ว

  ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉัน
ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ

  ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต
ตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทาง ให้ความรักและอดทนต่อฉัน

  ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ
ในรอยยิ้มของฉันมีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับเธอ

  ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบ เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ (ใจแข็งจริง ไอ้หมอนี่)
ตอนนั้น แม่เดินออกมา ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนแรกแม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้หลังจากผมกลับไปแล้ว
จึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไป  ตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง
ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป 1 ตัว จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้
รู้สึกแม่จะดีใจมาก เหมือนกับว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผม
และเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับหนังสือพิมพ์เหล่านั้น
ผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่ง แม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยที่เดียว

  หนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้น ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ
"เมื่อฉันแก่ตัวลง " บทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ในกรอบ เอาไว้ข้างตัวฉันตลอดไป
  ตอนนี้ ฉันขออุทิศบทความนี้ ให้กับลูกพเนจรทั้งหลาย ตอนปีใหม่ โทรไปหาท่านบ้าง
บอกท่านว่าคุณอยากกินอาหารที่ท่านทำเสมอ....
  28 ธันวาคม 2004

เอามาจาก  FW mail  จาก วุฒิชัย   

เข้ากับชีวิตช่วงนี้จริงๆ    + เอายันต์ที่แม่ให้ปิดหน้าร้านแล้ว+กินยาทุกวัน+สวดมนต์ก่อนนอน+ขับรถช้าลง+โทรไปหาทุกเย็น

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อคติ ห่วงในใจ




เมื่อใจเกิดไม่เป็นกลางโน้มเอียงไปสิ่งไหน
อีกสิ่งก็ผิดอยู่เสมอ ไม่ให้แม้โอกาส หรือ แม้จะเหลือบตาไปดู
การมอง การพิจารณาอย่านี้ เรียกว่า มองแบบมีอคติ
สังคมที่วุ่นวายทุกวันนี้ สืบเนื่องมาจากอคติของผู้คน
พุทธศาสนาแบ่งอคติออกเป็น 4 ประเภท ตามพื้นฐานแห่งจิตใจ คือ

1. ฉันทาคติ ความละเอียงเพราะความรักใคร่ หมายถึง การทำให้เสียความยุติธรรม
    เพราะอ้างเอาความรักใคร่หรือความชอบพอกัน ซึ่งมักเกิดกับตนเอง ญาติพี่น้อง
    และคนสนิทสนม     ในสังคมพบได้มาก

การแก้ฉันทาคติ ต้องทำใจให้เป็นกลาง โดยการปฏิบัติต่อทุกคนให้เหมาะสมเหมือนๆกัน
อันนี้คนเป็นนายคนจะต้องยึดไว้เสมอ


2. โทสาคติ ความละเอียงเพราะความไม่ชอบ เกลียดชัง หรือโกรธแค้น หมายถึง การทำให้เสีย ความยุติธรรม เพราะความโกรธ หรือลุอำนาจโทสะ  หลายๆคนใช้สิ่งนี้และ เมื่อรวมได้มากหลายๆคน ความเสียหายยิ่งใหญ่ก็จะตามมา

การแก้ไขโทสาคติ ทำได้ด้วยการทำใจให้หนักแน่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และพยายาม
แยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกัน


3. โมหาคติ ความละเอียงเพราะความไม่รู้ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หมายถึง การทำให้เสีย
     ความรู้สึกธรรมเพราะความสะเพร่า  ความไม่ละเอียดถี่ถ้วน รีบตัดสินใจก่อนพิจารณาให้ดี
     เพียงชั่วแล่นเท่านั้น ขาดยั้งคิด ผลลัพธ์อาจสูญเสียยิ่งใหญ่

วิธีแก้ไขโมหาคติ ทำด้วยการเปิดใจให้กว้าง ทำใจให้สงบ มองโลกในแง่ดี และ ยอมรับความคิดเห็น ของผู้อื่น

4. ภยาคติ ความละเอียงเพราะความกลัว หมายถึง การทำให้เสียความยุติธรรม เพราะมีความหวาดกลัวหรือเกรงกลัวภยันตราย

วิธีแก้ภยาคติ ทำได้ด้วยการพยายามฝึกให้เกิดความกล้าหาญ โดยเฉพาะความกล้าหาญทางจริยธรรม คือ กล้าคิด กล้าพูดในสิ่งที่ดีงาม ไม่ใช่พูดให้ตัวเองพ้นผิดไปวันๆ

อคติเป็นทางที่ไม่ควรปฏิบัติ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยง โดยการพิจารณาถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมาหากพิจารณาว่าเรากำลังมีจิตใจลำเอียง ก็ให้ปรับปรุงพฤติกรรมของตนเองใหม่ให้ตรงกันข้าม คือความไม่ลำเอียง

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ การมองแต่ตัวเอง ยึดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้น ดีแล้ว เหมาะสมแล้ว ยิ่งมีอำนาจวาสนาผู้คนไม่กล้าท้วงติง ยิ่งทำให้อคติในตัวล้นเหลือ หากไม่รู้สึกใดๆ ก็คงเป็นสุขดีอยู่ หากแต่วันใดหมดวาสนา
แล้ว สำนึก จะนั่งทนดูตัวเองได้อย่างไร


วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เรื่องราวของชายผู้อยู่บนโขดหินแต่ลำพัง


อุปสรรค....กำลังใจ
สองคำนี้ล้วนแล้วแต่ว่าเราจะเลือกให้อยู่ข้างไหน
บางคราวอุปสรรคช่างท้าทายให้เราลองเลือกจะฝ่าไป ให้พ้นให้ได้

กับกำลังใจ บางคราที่ขาด ช่างทำให้แรงหายวูบ...ท้อถอยสิ้นดี

เห็นได้ดั่งนี้ จะรู้ได้ว่า ทั้งสองคำ ไม่มีความหมายใดเลย
หายเพียงแต่ใจเราคิดและให้ใจเราเล็งไปทางไหน....

ทั้งนี้ขอเพียงท่านมีจินตนาการในหัวใจ จะอุปสรรค หรือ กำลังใจ ให้เลือกแต่ใจท่านเอง


ภาพประกอบจากhttp://www.radwaworld.com/wp-content/uploads/2011/08/drowning-girl-sea-water-Favim.com

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทางธรรม

 ๑. วัดอัมพวัน
๕๓ หมู่ที่ ๔ ถ.เอเชีย กม. ๑๓๐ บ้านอัมพวัน
ต.พรหมบุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ๑๖๑๖๐
โทร. (๐๓๖) ๕๙๙-๓๘๑, (๐๓๖) ๕๙๙-๑๗๕
วิปัสสนาจารย์ พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
แนวการปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ บริกรรม “ยุบหนอ พองหนอ”
www.jarun.org

๒. วัดธรรมมงคลเถาบุญญนนทวิหาร
๑๓๒ ถ.สุขุมวิท ซอย ๑๐๑ ตรอกปุณณวิถี ๒๐
แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ๑๐๒๖๐
โทร. ๐๒-๓๑๑-๑๓๘๗, ๐๒-๓๓๒-๔๑๔๕, ๐๒-๗๔๑-๗๘๒๒
วิปัสสนาจารย์ พระเทพเจติยาจารย์ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
แนวการปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
สถานที่ปฏิบัติมีหลายแห่ง คือ
๑. ศาลาปฏิบัติธรรม เป็นห้องมุ้งลวด
๒. ถ้ำวิปัสสนา (จำลอง)
๓. ศูนย์สมาธิวิริยานุภาพ มี ๘๐ ห้องพัก
ทุกห้องมีเครื่องปรับอากาศ
๔. ห้องสำหรับทำสมาธิ
๕. สถานปฏิบัติธรรม จ.เชียงราย
๖. สำนักสงฆ์น้ำตกแม่กลาง
www.dhammamongkol.com


๓. วัดป่าสุนันทวนาราม
๑๑๐ หมู่ที่ ๘ บ้านท่าเตียน ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ๗๑๑๕๐
วิปัสสนาจารย์ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
แนวการปฏิบัติ อานาปานสติภาวนา
เปิดอบรม “อานาปานสติภาวนา” แก่ผู้สนใจ ครั้งละ ๙ วัน
เปิดรับครั้งละ ๑๐๐-๑๕๐ คน เป็นการปฏิบัติที่เคร่งครัด กินอาหารวันละ ๑ มื้อ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิมายา โคตมี คุณดารณี บุญช่วย
โทร. ๐๒-๓๒๑-๖๓๒๐, ๐๒-๖๗๖-๓๔๕๓, ๐๒-๖๗๖-๔๓๒๓

รูปภาพจาก multiply ท่านekaratch ไปชมผลงานท่านได้ตามลิ้งค์ข้างล่างเลย



                        http://ekaratch.multiply.com/photos/album/52/52#
๔. วัดภูหล่น
 บ้านภูหล่น ต.สงยาง อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี ๓๔๒๕๐
ปฐมวิปัสสนาจารย์ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
(วัดภูหล่น เป็นสถานที่หลวงปู่มั่นออกธุดงค์ครั้งแรกกับหลวงปู่เสาร์)
วัดนี้ค่อนข้างจะห่างจากตัวเมือง บรรยากาศดีมาก เย็นสบาย และเงียบสงบ
มีสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนเขาไม่สูงนัก สามารถกางกลดอยู่ได้
มีโบสถ์บนเขาและมีกุฏิโดยรอบ บ้างก็ซ่อนอยู่ตามซอกเขา
ที่นี่เหมาะกับผู้เคยปฏิบัติธรรมมาแล้ว ต้องการมาปฏิบัติขั้นอุกฤษฎ์

๕. วัดถ้ำขาม
บ้านคำข่า หมู่ที่ ๔ ต.ไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ๔๗๑๓๐
วิปัสสนาจารย์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
วัดมีเนื้อที่ ๘๔๐ ไร่ พื้นที่จรดเขตอุทยานป่าแนวเทือกเขาภูพาน วัดอยู่บนเขาสูง
แต่ก็มีบันไดขึ้นลงสะดวก มีลิงป่า และไก่ป่า
ที่พัก มีที่พักเป็นกุฏิ (กุฏิละ ๑ คน) หรือพักรวมบนศาลาก็ได้
เหมาะสำหรับผู้ต้องการมาปฏิบัติขั้นอุกฤษฎ์
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=travelsomewhere&month=01-07-2009&group=30&gblog=4

 ๖. วัดสนามใน
๒๗ หมู่ ๔ ต.วัดชลอ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ๑๑๑๓๐
โทร. ๐๒-๔๒๙-๒๑๑๙, ๐๒-๘๘๓-๗๒๕๑
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ
แนวปฏิบัติ เน้นการเจริญสติรู้การเคลื่อนไหวของกาย ตามหลักสติปัฏฐาน ๔
วิธีที่เป็นที่นิยมคือวิธีสร้างจังหวะ เป็นวิธีสร้างสติแบบนั่งทำสมาธิแต่ไม่ต้องหลับตา
http://www.watsanamnai.org/

๗. วัดป่านานาชาติ
หมู่ที่ ๗ บ้านบุ่งหวาย ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ๓๔๓๑๐
(สาขา ๑๑๙ ของวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี)
วิปัสสนาจารย์ พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ
เป็นวัดป่าที่มีต้นไม้ใหญ่มาก มียุงและแมลงต่างๆ มาก
คนที่แพ้ยุงก็ควรหายากันยุงไปด้วย อากาศเย็นสบาย ทานอาหารวันละ ๑ มื้อ
การไป ให้เขียนจดหมายไปขออนุญาตจากเจ้าอาวาส แล้วจึงเดินทางไป
www.watpahnanachat.org

๘. วัดปทุมวนาราม
ถ.พระราม ๑ แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ๑๐๓๓๐
โทร. ๐๒-๒๕๑-๒๓๑๕, ๐๒-๒๕๒-๕๔๖๕
วิปัสสนาจารย์ พระราชพิพัฒนาทร (หลวงพ่อถาวร จิตฺตถาวโร)
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
นั่งปฏิบัติในศาลาพระราชศรัทธา มีอาสนะและผ้าคลุมตักให้หยิบใช้ได้
บริเวณโดยรอบมีการปลูกแต่งด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย ร่มรื่นสวยงาม
กำหนดการปฏิบัติธรรมที่ศาลาฯ ประจำวันจันทร์-ศุกร์ วันละ ๓ เวลา
เช้า ๗.๐๐-๘.๐๐ น. กลางวัน ๑๒.๐๐-๑๓.๐๐ น. เย็น ๑๗.๐๐-๒๐.๐๐ น.
http://www.watpathumwanaram.com/main/


 ๙. วัดมเหยงคณ์
ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ๑๓๐๐๐
โทรศัพท์ ๐๓๕-๒๔๒-๘๙๒, ๐๓๕-๒๔๔-๓๓๕
วิปัสสนาจารย์ พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรํสี)
แนวปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ กำหนดรู้ รูป-นาม
http://www.watmahaeyong.net/


๑๐. สวนโมกขพลาราม
๖๘ หมู่ ๑ ต.เลเม็ด อ ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ๘๔๑๑๐
โทร. ๐๗๗-๔๓๑-๕๙๖-๗, ๐๗๗-๔๓๑-๖๖๑-๒
วิปัสสนาจารย์ ท่านพุทธทาสภิกขุ
แนวการปฏิบัติ อานาปานสติภาวนา



๑๑. วัดภัททันตะอาสภาราม
สำนักวิปัสสนาสมมิตร-ปราณี
๑๑๘/๑ หมู่ที่ ๑ บ้านหนองปรือ ต.หนองไผ่แก้ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ๒๐๒๒๐
โทร. ๐๓๘-๒๙๒-๓๖๑, ๐๘๑-๗๑๓-๐๗๖๔, ๐๘๑-๙๒๑-๑๑๐๑
เป็นสถานที่ซึ่งมีผู้บริจาคเพื่อขยับขยายมาจากสำนักวิปัสสนากรรมฐานวิเวกอาศรม
แนวปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ ใช้คำบริกรรม “ยุบหนอ พองหนอ”
สถานที่ล้อมรอบด้วยทุ่งและธรรมชาติ มีกุฏิสงฆ์สร้างในแบบธรรมชาติมุงจาก
อาคารปฏิบัติธรรมขนาดกลางและอุโบสถ ยังรับผู้ปฏิบัติธรรมได้ไม่มากนัก


๑๒. วัดปากน้ำภาษีเจริญ 
เลขที่ ๘ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
วิปัสสนาจารย์ พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด)
แนวปฏิบัติ ตามแนวธรรมกาย ใช้คำบริกรรม “สัมมาอรหัง”
สถานที่ปฏิบัติ 
๑. หอเจริญวิปัสสนาฯ ชั้น ๒ เป็นห้องแอร์ปูพรม
๒. หอสังเวชนีย์มงคลเทพนิมิต 
๓. ตึกบวรเทพมุนี 


 ๑๓. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์
เลขที่ ๓ ท่าพระจันทร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
แนวปฏิบัติ ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ใช้คำบริกรรม “ยุบหนอ พองหนอ”
สถานที่ปฏิบัติ คณะ ๕ สำนักงานกลาง กองการวิปัสสนาธุระ
เปิดทุกวัน สอนเดินจงกรมและนั่งสมาธิ
เช้า ๐๗.๐๐ – ๑๐.๐๐ น. กลางวัน ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. เย็น ๑๘.๐๐ – ๑๙.๐๐ น. 

๑๔. วัดญาณสังวรารามวรวิหาร
ต. ห้วยใหญ่ อ. บางละมุง จ. ชลบุรี โทร. (๐๓๘) ๒๓๗-๖๔๒
สถานที่ปฏิบัติ เป็นอาคารคอนกรีต ๒ ชั้น มีอาคาร ญส. ๗๒ ชาย และ ญส. ๗๒ หญิง
ชั้นละ ๑๐ ห้อง มีห้องน้ำในตัว เรือนปฏิบัติธรรมมี ๑๗ หลัง 


 ๑๕. วัดอโศการาม
๑๓๖ หมู่ ๒ กม. ๓๑ ถ. สุขุมวิท (สายเก่า) ต. ท้ายบ้าน อ. เมือง จ. สมุทรปราการ
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อลี ธมฺมชโช
บริเวณกว้างขวาง มีสระน้ำใหญ่ในบริเวณวัด
กุฏิพระ แม่ชี และที่พักแยกเป็นสัดส่วนเรียงรายรอบวัดเป็นร้อย ๆ หลัง
ส่วนมากอยู่ติดริมทะเลซึ่งเป็นป่าชายเลน 

                        รูปภาพจาก multiply ท่าน 7BalLaz ไปชมผลงานท่านได้ตามลิ้งค์ข้างล่างเลย
                                                           http://7ballaz.multiply.com/photos 

๑๖. วัดป่าสาลวัน
อ. เมือง จ. นครราชสีมา
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วันที่ ๑-๕ ของทุกเดือน จะมีการอบรมการปฏิบัติแก่อุบาสกอุบาสิกา
ที่ใต้ศาลา และบนวิหารชั้น ๒ โดยจะมีพระให้การอบรม






วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

It’s Good To Be Here


                           http://candychang.com/its-good-to-be-here/

I LIKE YOU DO.....Candy Chang

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

เริ่มคิดอย่างนี้...


1 ยิ่งใกล้ภาพบางอย่างอาจเปลี่ยนไป
มีอะไรให้เรียนรู้มากกว่าเดิม
การตัดสิน
ไม่สำคัญเท่ากับความเข้าใจ
จะสำคัญอย่างไร
ถ้ามัวแต่วิจารณ์แต่ข้อบกพร่อง
โดยมองข้ามความปราถนาดี
2  พูด...กับคนที่พร้อมจะฟัง
3  ไม่มี....กับไม่เห็นว่ามีนี่ต่างกันนะ ลองนึกดู
4  ระหว่างการทำงานให้หนักขึ้น
กับการลดสิ่งทีไม่จำเป็นออกไปบ้าง
อย่างหลังดูจะสุขใจมากกว่านะ
5  การพูดความจริงเป็นสิ่งที่ดี
แต่จะดียิ่งๆขึ้นไปอีก
ถ้ามันถูกที่ ถูกเวลา
6  ควรให้โอกาสตัวเอง ทำตามหัวใจสั่งบ้างนะ
ถึงแม้มันอาจจะดูลำบาก และแตกต่างจากคนอื่นบ้างก็ตาม
อย่างน้อยมันก็จะไม่ติดค้างอยู่ในหัวใจ
7  บ้างครั้งความไม่ชัดเจน...ก็อาจจะซ่อนความงดงามอยู่ในที
ซึ่งหากเราได้เรียนรู้ว่า บางสิ่งไม่อาจจะแสดงให้เรารู้แจ้งได้ ณ เวลาหนึ่ง
จนเมื่อถึงกาลของมัน ชัดหรือไม่ชัด ก็ไม่สำคัญไปกว่า
การรับรู้ หรือ แปลความหมาย
เป็นบทเรียนของชีวิต
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้กันและกันมากขึ้น
ทุกอย่าง
ย่อมมีเวลาของมัน
8 คำดูถูกดูแคลนแท้จริงไม่มีอะไร ถ้าไม่เก็บเอาไปใส่สมอง
9 ถ้าพบใครก็ตามที่คุณคิดว่าดีกับคุณ จงใช้เวลาพิสูจน์ความคิดของคุณ
เพียงแต่คุณอย่าละที่จะทำดีให้กับเขาอย่างสม่ำเสมอ
10 อย่าเห็นว่าเป็นความผิดเล็กน้อยจึงได้กระทำ
อย่าเห็นว่าเป็นความดีเล็กน้อยจึงไม่กระทำ
11 ไม่รีบร้อนจนเกินไปจนลืมความสง่างาม 
บางเรื่อง บางสิ่ง บางเวลา
เราอาจจะปล่อยให้มันเป็นไปเสียบ้าง
บางที
12 คนที่อยู่ข้างๆเราไม่จำเป็นจะต้องฝันเหมือนเราก็ได้
 

13 คำถามอยู่ที่ว่า...มันจะไปได้ดีแค่ไหน? 
มากกว่าเราทำได้ดีแค่ไหน?....ต่างหาก
14 บางที่สิ่งที่เราได้เห็น มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่สวยงามเสมอไป 
และสิ่งที่เรามี อาจจะไม่ได้ดีเสมอใคร แต่บางที่มันก็จำเป็นที่จะต้องมีเท่านั้น
15 คำสอนพระพุทธองค์นำพาไปปฎิบัติแล้วเกิดสุขที่แท้
 


ขอบคุณกำลังใจที่มีให้เสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

ด้วยรักของพระเจ้า......กับเขา Steve Vai

Steve Vai มือกีต้าร์เทพชาวอเมริกัน-อิตาเลี่ยน ผู้มีกีต้าร์Ibanezเป็นอาวุธคู่กาย

.เกิดเมื่อ 6 มิถุนายน 1960 ณ.Long Island, New York เริ่มเรียนกีต้าร์อย่างจริงจังเมื่ออายุ 13 กับ Joe Satriani จากนั้นไปศึกษาด้านดนตรีที่ Berklee School ใน Boston และย้ายมาอยู่ที่ L A ในปี 1979 เพื่อเป็นนักดนตรีในวงดนตรีของ Frank Zappa ออกโซโลอัลบั้มแรก Flex-able [1984] และในปี 1985เข้าไป แทนที่ Yngwie Malsteenใน AlcaTrazz ซึ่ง มี Graham Bonnet เป็นนักร้องนำ( อดีต นักร้องนำวง RainBow) ออกอัลบั้ม Disturbing the peace [1985] ปี ต่อมาในปี1986 ย้ายมาอยู่กับ David Lee Roth Band ออกอัลบั้ม 2 มาชุดคือ Eat 'em and Smile [1986] และ Skyscraper [1988] หลังจากนั้นในปี 1989 มาอยู่กับวง White Snake ออกอัลบั้ม Slip of the Tongue แม้ว่าจะมีชื่อมือกีต้าร์ Adrian Vandenberg ร่วมด้วย (และเป็นคนร่วมแต่งเพลงกับ David Coverdale ) แต่Steve Vai เป็นคนเล่นกีต้าร์ทั้งหมด เนื่องจาก Adrian ประสบอุบัติเหตุ ต่อมาในปี 1990ออกอัลบั้มแห่งประวัติศาสตร์ของโลกกีตาร์ในยุค'90ที่มีชื่อว่า Passion and Warfare ซึ่งอัลบั้มนี้ถือได้ว่า...เป็นการแจ้งเกิดให้ใครหลายๆคนได้รู้จัก เขาในฐานะเทพเจ้ากีตาร์ตนหนึ่ง และหลังจากนั้นอีก 3 ปีคือในปี 1993เขาก็ได้ออกอัลบั้มที่ชื่อว่า Sex and Religien 

ผลงานของ Steve Vai
1984     LP     Flex-Able    
1984     EP     Flex-Able Leftovers    
1990     CD     Passion and Warfare    
1993     CD     Sex & Religion    
1995     EP     Alien Love Secrets    
1996     CD     Fire Garden    
1998     CD     Flex-Able Leftovers (Re-release)    
1999     CD     The Ultra Zone    
2005     CD     Real Illusions: Reflections
Steve Vai อาจเป็นนักดนตรีที่มีพรสวรรค์ที่ได้เล่นกีต้าร์ rock การเล่นที่ไม่เหมือนใครจนอาจจะกล่้าวได้ว่า " เขามีกล้ามเนื้อพิเศษที่มือ "

งานที่มาจากแรงบันดาลใจที่แรงกล้าของเขา รวบรวมจังหวะหลายๆจังหวะไว้ ซึ่งเป็น Dorian mode และ whole - one scale ของโทนเสียงที่ไม่ธรรมดา และเป็นไปแบบตามใจตัวเอง นักกีต้าร์จำนวนไม่มากที่ ได้ค้นหาความน่าจะเป็นในการใช้ effects processor และ tremolo bar ให้ได้เสียงเพิ่มขึ้นแบบฉบับของเขาเอง ผู้ซึ่งใช้มันในการสร้างเสียงได้หลายระดับเสียงตั้งแต่เสียงคำรามของ!จนถึง เสียงรัวๆ แบบที่เกิดจากการลับอาวุธ การเล่นของเขามีมาตรฐาน และ มีแนวทางเฉพาะตัว

เชิญแวะเข้าไปทักทายเขาได้ที่ http://www.vai.com/

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

คิดบวก (Positive Thinking)




โลกใบนี้ มีมุมดีๆให้มอง แค่

* คนทุกคนมีเหตุผลในการทำสิ่งต่างๆ เสมอ
* ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้...แต่ทุกปัญหาแก้ไขได้
* สิ่งร้ายๆ จะมาพร้อมกับสิ่งดีๆ เสมอ
* ความมืดในเวลากลางคืนมีแต่ 12 ชั่วโมง
* หลังฝนตกหนักแล้วฟ้าจะปลอดโปร่ง
* ของบางอย่างไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นของเรา
* ถนนบางสายไกลหน่อย แต่ก็ยังมีวันถึง
* ฝันร้ายเป็นแค่ความฝัน
* อุปสรรคทำให้ชีวิตมีสีสัน
* ความเจ็บปวดทำให้หัวใจแข็งแกร่ง
* ทุกๆอย่างมีระยะเวลาของมัน
* การร้องไห้ทำให้ดวงตาใสขึ้น
* ตัวเรายังไม่ได้อย่างใจเรา แล้วคนอื่นจะเป็นได้อย่างไร
* เมื่อมาถึงจุดที่หนักที่สุดแล้ว หลังจากนั้นทุกอย่างจะผ่อนคลายลงเรื่อยๆ
* มีไม่มากแต่ก็มีพอ
* ไม่มีเงินแต่ยังมีแรง
* ถ้าวิ่งที่ถึงเร็วขึ้น
* ถ้าค่อยๆเดิน จะไม่เหนื่อย
 
“พุทธวิธีควบคุมความคิด” ซึ่งเป็นกลยุทธ์พิชิตความคิดในด้านลบ
         ขั้นที่ ๑ เปลียนความคิด : เป็นไปในลักษณะที่ว่าหากเรื่องที่เราคิดอยู่นั้นมันยิ่งทำให้เกิดความเศร้า หมองหรือทัศนคติในทางลบ ให้รีบถอนความคิดเหล่านั้นทันทีแล้วเปลี่ยนความคิดไปในเรื่องที่ดีหรือทำให้ เกิดทัศนคติในด้านบวก เช่น หากว่าเรากำลังกลุ้มใจหรือเศร้าใจกับปัญหาน้ำท่วมที่กำลังเผชิญอยู่ทั้งทำ ให้ทรัพย์สินเสียหายหรือทำให้ตกงาน ก็ให้เปลี่ยนไปคิดถึงเรื่องอื่นในด้านตรงข้ามแทน เช่น เรายังโชคดีที่ยังมีทรัพย์สินเหลืออยู่ หรือคิดว่าก็ดีได้เปลี่ยนงานใหม่ซะทีเผื่อจะมีอะไรดี ๆ เข้ามาในชีวิตต่อจากนี้ก็เป็นได้

         ขั้นที่ ๒ พิจารณาโทษความคิด : หากว่าเราลองเปลี่ยนความคิดแล้วแต่พอไม่นานก็พาลกลับไปคิดเรื่องเศร้าหมอง เดิม ๆ อีก วนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ท่านว่าวิธีแก้ก็คือให้พิจารณาถึงโทษทางความคิอนั้นเลย หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ในเมื่อวิ่งหนีแล้ว (ความคิด) มันยังไล่กวดตามติดเหมือนเงาตามตัว ก็สู้กับมันซะเลยโดยการหันมาใช้สติในการพิจารณาถึงโทษของความคิดที่ทำให้ เกิดทุกข์หรือความเศร้าหมองนั้นว่า หากเรามัวแต่จมปรักกับความคิดในด้านลบดังกล่าวนั้นแล้วมันมีประโยชน์หรือ เปล่า? เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ไหม? หรือยิ่งทำให้หมดกำลังไปหรือเปล่า?
           การใช้สติพิจารณาถึงโทษดังกล่าวสุดท้ายทำให้เข้าใจว่าจิตใจที่คิดเช่นนั้น เกิดความรุ่มร้อน ไม่สบาย ไม่มีประโยชน์ แต่หากว่าไม่คิดเช่นนั้นแล้วจะรู้สึกเย็นใจ โปร่ง โล่ง สบาย

         ขั้นที่ ๓ ไม่ใส่ใจ (ให้เลิกคิด) : หากทั้งสองวิธียังไม่ได้ผล ท่านให้ถือเสียว่าปัญหาทางความคิดทางด้านลบที่กำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นเพียง เรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องไร้สาระในชีวิตเมื่อเทียบกับเรื่องอื่น ๆ หรือคนอื่น ๆ ที่มีปัญหาเมือนเราแต่หนักหนาสาหัสกว่าเรา เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วก็จะก่อให้เกิดกำลังใจและเลิกใส่ใจในเรื่องที่คิด (ลบ) ดังกล่าวพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างมีความหวังด้วยพลังจากความ เข้มแข็งทางจิตใจ
            
         ขั้นที่ ๔ ใคร่ครวญหาเหตุผล : การ ใคร่ครวญหาเหตุผลในเรื่องความคิด เป็นไปในลักษณะที่ว่าให้ตั้งสติเพื่อพิจารณาว่าทำไมเราต้องคิดเช่นนั้น? อะไรทำให้คิดเช่นนั้น? ซึ่งจะทำให้เราได้หยุดคิดพิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วน กินลึกลงไปถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความคิดเช่นนั้นแล้วส่งผ่านต่อยอดไปยัง ผลที่จะตามมาหากว่ายังคิดเช่นนั้น  “การได้หยุดคิด ทำให้สติได้ติดเครื่องทำงานอีกครั้ง”
           
          ขั้นที่ ๕ ให้กัดฟันใช้ลิ้นกดเพดานให้แน่น : หากว่าทำตามลำดับที่ผ่านมาแล้วความคิดยังไม่หยุดนิ่ง ท่านให้ใช้ฟันกัดฟันให้แน่นแล้วเอาลิ้นกดเพดานไว้ แล้วความคิดก็จะหยุดเอง ข้อนี้คงจะเป็นเคล็ดให้เราเอาใจมาจดจ่อกับการที่เอาลิ้นกดเพดานไว้ คือการดึงสมาธินั้นเอง

         สิ่งสำคัญคือขอให้มีกำลังใจ อย่าสิ้นหวัง ตราบใดที่มีลมหายใจอยู่ ชีวิตย่อมมีความหวัง ถอนความคิดในด้านลบทีมีออกไปแล้วใส่ความคิดทางด้านบวกลงไปแทน เพื่อสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เทพธิดาผ้าซิ่น....ใน I LIKE IT ของ ข้าพเจ้า

บทเพลงที่ฟังมานาน ครื้มอกครึ้มใจเวลาได้ที่(สมัยก่อนน่ะ)ก็แหกปากร้อง
ฟังแล้วนึกถึงท้องทุ่งมีสาวบ้านนายืนบนคันนา แก้มเปื้อนดินเป็นรอยจางๆ

version คุณ เสรี รุ่งสว่าง 

ว่างจากงานหว่านไถ จะร้อยมาลัยใบข้าว ห้อยคอสาวจำปา
เจ้าเป็นเทพธิดาของบ้านนาบ้านทุ่ง นุ่งผ้าถุงไทยเดิม
หน้าสวยด้วยแดดแรง แก้มแดงไม่แต่งเติม
เจ้าไม่เคยเห่อเหิมเติมต่อดินสอพอง

ช่างขยันงานเรือน มิแชเชือนหน้าที่ สิ่งที่ดีที่ควร
เฝ้าถนอนออมนวล หอมหวลชวนลมทุ่ง หนุ่มก็มุ่งหมายปอง
ค่ำลงก็เข้าเรือน ฟังแม่เตือนให้ไตร่ตรอง
หากมีชายหมายปอง ระวังเจอของเหลือเดน

*แม่ดอกบัวที่อยู่ในสระ จะบานคอยพระหรือบานคอยเณร
ถ้าบานคอยพี่ ไว้พรุ่งนี้ตอนเพล คอยได้ไหมคนดี

**พ่อเคยพูดหลายที คิดจะมีแม่บ้าน เชื่อโบราณดีแล
หากเลือกวัวดูหาง แม้เลือกนางดูแม่ นั่นแหละแน่เข้าที
บ้านเรือนสะอาดตา พูดจาเสนาะดี ตำน้ำพริกทุกที
เสียงดังถี่จนทุ่งสะเทือน

ที่ีจะไม่เข้าใจก็ตรงเนื้อท่อนที่ว่า
*แม่ดอกบัวที่อยู่ในสระ จะบานคอยพระหรือบานคอยเณร
ถ้าบานคอยพี่ ไว้พรุ่งนี้ตอนเพล คอยได้ไหมคนดี"
ว่าพระหรือเณรเกี่ยวกันยังไงกับสาวๆ
นอกนั้นฟังแล้วเห็นภาพจนชักจะหลงรักสาวบ้านนาเข้าเสียแล้ว
version ก๊อต จักรพรรณ

สมัยนี้คงไม่เห็นแล้วอย่างนี้
บทเพลงที่สอนสาวๆและบอกหนุ่มๆให้รู้วิธีเลือกแม่บ้านแม่เรือน
หาใช่ดูเอาแต่สวยๆเพียงเท่านั้น
แต่สวยแบบบ้านๆนี่ก็อาจจะทำให้หลงรักได้นานๆกว่าสวยมือหมอนะ
สวยแค่ไหนก็จีรังได้แค่ไม่นานแต่ถ้าใจสวยๆล่ะมันอยู่กันนานนะเออ


วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

คำของแม่

เริ่มเดือนแห่งความรักด้วยรักของแม่
"กินข้าวรึยังลูก"   ได้ยินบ่อยมาก เกือบทุกวัน
"ขับรถดีๆนะลูก"  ทุกครั้งเลย ผสมกับ คำว่า "ขับรถช้าๆนะ" 
"อย่ากลับบ้านให้มันดึกนักนะลูก"  สมัยหนุ่มๆได้ยินบ่อย
"ไม่สบายน่ะกินยารึยัง"  ทุกครั้งที่ไม่สบาย
"เดินเหินให้ระวังหน่อย"  อันนี้ตอนเด็กๆ
"ไปดีมาดีนะลูก" คำนี้สมัยไปทำงานต่างถิ่น
"ให้เงินแม่เท่าไหร่ ขอให้ลูกได้รับคืนมาเป็นสิบๆเท่านะ"  ทุกเดือนชอบนะคำนี้
"พักผ่อนบ้างนะลูก" บางทีก็นั่งเล่นไปเรื่อยๆ จนดึกดื่น
"ไม่ต้องซื้อมาให้แม่ มันแพง" คราวหน้าถ้าแพงก็อย่าบอกจะได้สบายใจ ว่าแต่โกหกแม่นี่จะบาปมั้ย
"โตแค่ไหนก็ยังเป็นลูกแม่วันยังค่ำ" เวลาที่เรายุ่งๆแล้วเผลอไปบอกว่าไม่ต้องยุ่ง เจอเลยคำนี้
"ใช้เงินให้ระวังๆหน่อย เก็บเอาไว้บ้าง"  ชอบคิดว่าเราใช้เงินเก่ง
"ไม่ไหวก็กลับมาบ้านเราลูก"  เวลามาเล่าเรื่องงานว่ายุ่ง ว่าหนัก
"ไปวัดกับแม่มั้ย"  พักหลังๆชวนบ่อยๆ เราก็พยายามไปด้วยบ่อยๆ
"พระคุ้มครองนะลูก"  สาธุ
"ตั้งใจเรียนนะลูก"   ทุกครั้งที่ไปส่งที่โรงเรียน
"ไม่เป็นไร เอาใหม่"  ก่อนได้ยิน เรามักจะก้มหน้ามีน้ำตาคลอๆ
"ขวัญเอ้ย ขวัญมานะลูก"   ตกไม้ลื่น แม่วิ่งมาประคอง
"คนอื่นไม่รัก แต่แม่รัก"   รักของแม่จริงแท้และแน่นอนที่สุด(ยืนยัน)
"คราวหน้า ค่อยซื้อให้ ทำตัวดีๆ"  ร้องอยากได้ของเล่น แต่แม่ไม่มีเงินจะซื้อให้(มารู้ตอนโตแล้ว)
"ลูกฉันเอง ที่สอบได้ที่หนึ่ง"  แม่เรานี่ก็ขี้โม้เหมือนกันนะเนี่ย 
"อนาคตอยู่ที่ตัวเรานะลูก"   เรียน เรียน เรียน เข้าไป
"ลูกเคยเห็นเสือมันไปคุ้ยกองขยะมั้ย เวลามันหิวมันอดมันก็ไม่ทำไม่ไปขอใคร หากินเองไม่ไปแย่งใคร เดินไปไหนๆมันคำรามเบาๆ ใครก็เกรง
 เวลาเราอดเราก็ต้องอดเยี่ยงเสือนะลูก"   จำมาจนทุกวันนี้
" เอามานี่แม่ทำเอง"  แย่งงานเราทำซะงั้น
"แกะปลาให้เอามั้ย"   ตอนนี้แม่สายตาไม่ดี แต่ก็ยังพยายามแกะให้เราอยู่ ก้างเพียบ 5555
" โทร หาน้องบ้าง" เรามันแย่ในด้านความสัมพันธ์
"ค่อยๆทำไปเดี๋ยวก็เสร็จ"  นั่งทำการบ้านไปร้องไห้ไป มันเยอะเกิน
 
" เราต้องอดทน"  ทำให้เราไม่ต้องทนอด
"เวลา วารี ไม่คอยใครนะ" ไปสายประจำเลยเราตั้งแต่เด็กๆ
" เปิดเทป ชรินทร์ ให้แม่หน่อย "  เราเลยร้องได้เกือบทุกเพลง เพราะเปิดเกือบทุกเช้า
ไปซื้อผักชีต้นหอมให้แม่หน่อย"  สมัยก่อนสองบาทก็ซื้อได้

เท่าที่คิดได้นะเวลานี้ ถ้าคิดได้อีกจะเพิ่มเข้าไป บ้างคำได้ยินทุกวัน แปลกใจแม่ไม่เบื่อพูดเลย
แต่เราเองซิบางอารมณ์มีเบื่อไม่อยากฟัง แย่จริงๆเลย
"

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

คนที่จำเป็น


เคยได้ยินว่า ทุกความทุกข์ความเศร้าล้วนมีข้อดี
แล้วได้ลองนั่งมองมันจริงๆ เราก็จะพบ   "ข้อดี"  ด้วยตัวของเราเอง
  ไม่ใช่ข้อดีในแง่ของการที่จะได้มีประสบการณ์ชีวิตเพิ่มขึ้นเท่านั้น
       แต่มันยังช่วยพิสูจน์ด้วยว่า  ณ  ขณะที่ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท
ใครบ้าง ? ที่พร้อมจะยืนเคียงข้าง  จับมือกันไว้จนกระทั้งแสงสว่างแสงแรกสาดส่องมาถึง


              คนที่ยืนอยู่ด้วยในวัน ที่เราสุข
จึงไม่สามารถบอกได้ว่าเขาจะเป็นคนที่จริงใจกับเรามากที่สุด
แต่คนที่ยืนอยู่ด้วย ไม่เคยคิดหนีไปในวันที่หัวใจเรา แสนเศร้า....
     มันสามารถบอกได้จริงๆ ว่าเขานี่แหล่ะที่เป็น "คนจริงแท้"
และปรับอุณหภูมิให้ใจอุ่นได้มากกว่า "วันสุข" ที่ใครๆ ก้พร้อมจะอยู่ให้เราคุ้นน่า

 เวลารักใคร  เรื่องสำคัญจึงอยู่ที่ การรักอย่าง "จำเป็น" ต่อกัน
      จำเป็นที่จำต้องมีกัน  และจะยกใครอื่นมาแทนไม่ได้
                  ซึ่งถ้าค้นหา  "คนที่จำเป็น"  แบบนี้เจอแล้ว
หน้าที่ของเราก็คือต้องทำให้เราเป็น  "ความจำเป็น"  ของเขาด้วย
   แล้วการคบกัน  ก็จะปราศจากการหวาดกลัวว่าต้องเลิกกัน


เครดิต จาก น้อง Ahmz