ชีวิตมีหลายสิ่งที่น่าสนใจ



love is the flower for which love is the honey : victor hugo

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สงสัย นอกกรอบ ปัญญา วิถีพุทธ

ย้อนไปสมัยเมื่อยังเด็ก เรามักจะมีคำถามที่สงสัย อะไรต่อมิอะไรกันมากมาย ซึ่งเฝ้าถามใครต่อใคร โดยจะมีคำตอบบ้าง(ถูกบ้างผิดบ้างจากคำตอบเหล่านั้น) หรือ บ้างทีเราก็ลืม หรือ เลิกสงสัยไปเองตามกาล
ข้อสงสัยที่อาจจะดูไร้ประโยชน์ในบางที แต่แปลกไหม ทุกวันนี้เราก็ยังคงสงสัยกันอยู่ เพียงแต่ เรา ไม่อิสระในความคิดเหมือนเช่นเดิม ทั้งๆที่เรามีปัจจัยที่จะค้นหา หรือ ทำข้อสงสัยเหล่านั้นให้กระจ่างได้ แปลกใจ


เมื่อเรามี "ปัญญา" (จะมากจะน้อยแล้วแต่ท่าน)ขึ้น เรากลับจำแนกความคิดไม่หลากหลาย  จริงๆการไม่รู้ หรือสงสัย หากจะตามมาด้วย การรู้ การหาให้หายสงสัย ย่อมเกิด " ปัญญา"  แต่เมื่อเราเติบโต มีปัญญา เวลาที่เราสงสัย กลับมีเหตุผลร้อยแปดมา สกัดกั้น หากข้อนั้นมันล่อแหลม มันเสี่ยง  เพราะเรามียั้งคิด เราจะไม่เอานิ้วไปจิ้มปลั๊กไฟเพราะแค่อยากจะรู้ว่ามีไฟฟ้าหรือไม่ การคิดแบบมี "ปัญญา" ตามธรรม

สัมมาทิฎฐิ หรือ ปัญญา(ทฤษฎีที่ถูกต้อง)มี 2 อย่างคือ
1.    ปัจจัยภายนอก เรียกว่าปรโตโฆสะ แปลว่าเสียงจากผู้อื่น รวมหมด คำ
บอกเล่า ข่าวสาร คำชี้แจง การแนะนำชักจูง การสั่งสอน การถ่ายทอด การได้
เรียนรู้จากผู้อื่น(กัลยาณมิตร)

2.    ปัจจัยภายใน เรียกว่าโยนิโสมนสิการ แปลว่าการทำในใจอย่างแยบคาย
การพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า การใช้ความคิดสืบสาวตลอดสาย การคิดอย่าง
มีระเบียบ  การคิดพิจารณาด้วยอุบาย การคิดแยกแยะออกดูตามสภาวะของ
สิ่งนั้นๆ โดยไม่เอาความรู้สึกด้วยตัณหาอุปาทานของตนเข้ามาจับ
ปัจจัยทั้งสองอย่างนี้ย่อมสนับสนุนซึ่งกันและกัน

(พุทธธรรมฉบับเดิม โดยพระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตฺโต)


แต่เมื่อเราสร้างกรอบ และ ยึดมั่นในกรอบ ในทางโลก กลับดูวังเวง บ้างว่าล้าหลัง ไม่เกิดใหม่ไม่ทันสมัย การคิดสร้างสรรค์ (ด้วยปัญญาหรือไม่????) ต้องหลุดกรอบ(จริงหรือ)  บ้างว่าให้คิดแบบเด็ก อย่ากลัว

สมัยนี้ผู้จึงคนค้นหา "ปัญญา"กันไปแบบ สังคม Creative ซึ่งรับเอามาใช้ในการแข่งขัน การดำรงชีวิตในสังคม 

แล้ว "ชาวพุทธ" ที่ยังสงสัยจะอยู่อย่างไร ในเมื่อ โลกต้องการ สิ่งสร้างสรรค์  หลายๆท่านยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว "วิถีพุทธ" นั้นช่างละเมียดละไมในการสร้างชีวิต โดย
 
“วิถีพุทธ” นี้ จะพัฒนาทักษะการแก้ไขปัญหา จากความสามารถที่แท้จริงตามธรรมชาติของมนุษย์ และเสริมสร้าง “ความคิดสร้างสรรค์แบบพุทธ” ขึ้นมา  ซึ่งต่างจากความคิดสร้างสรรค์แบบตะวันตก  ตรงที่ “วิถีพุทธ” จะเน้นย้ำเรื่องคุณธรรม และการรักษาสมดุลทางจิตใจ ด้วยวิถีแห่งศีลสมาธิและปัญญา   ด้วยความเข้าใจทั้งต่อโลกภายนอก (ชีวิตและวิทยาศาสตร์) และโลกภายใน (จิตใจ)

คิดแบบพุทธ แบบโยนิโสมนสิการเป็นการคิดตามหลัก "วิถีพุทธ"ในการคิดของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นวิธีอันประเสริฐล้ำค่ายิ่ง เป็นวิธีการในการสร้างคนให้รู้จักคิด หรือคิดเป็น ประกอบด้วยลักษณะที่ดี 4 ประการ คือ การคิดถูกวิธี การคิดมีระเบียบ การคิดมีเหตุผล และการคิดที่มุ่งสิ่งที่เป็นกุศล กระบวนการที่ฝึกให้คนคิดดีและ ทำดีควบคู่ไปกับความรู้จริงและรู้แจ้ง เพื่อนำไปสู่ชีวิตที่ดี และมีคุณค่า แก่ตนเอง สังคม

กลับไปเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเล็กๆกันอีกที ข้อสงสัยต่างๆที่ยังมี หรือ หลงลืม เอากลับมาค่อยๆคิดแบบ มี"ปัญญา" ตามแบบ "วิถีพุทธ" เราอาจจะได้สิ่งที่"สร้างสรรค์" แบบมีสติ ดีกว่าการหลงไปกับกระแสโลกาภิวัฒน์สร้างสรรค์หลุดกรอบ ที่เราไม่เคยรู้แจ้งเลยสักนิดเลย




วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พุทธะ กับ ชาวพุทธ


โลกได้สร้างบทพิสูจน์ให้กับเราและท่านในหลายๆสภาวะ
บางเวลามันแสนจะทุกข์ยากเสียเหลือเกินจนทนไม่ไหว
บางเวลามันก็สุขจนแสนเสียดายไม่อยากให้เวลามันผ่านไป
แต่ทั้งนี้สุดท้ายเวลาก็ไม่เคยจะยอมปล่อยให้เราทุกข์จนแสนเข็ญหรือสุขจนล้นใจ
เวลาก็จะทวงถามและละเลยให้เราต้องผ่านสิ่งเหล่านี้ไป
เพียงระหว่างที่เรากำลังสุขหรือทุกข์อยู่นั้น
เรารับรู้ถึงสิ่งใดเอามาให้ระลึกถึงเพียงเพื่อไม่ประมาท
 
โลกสอนเราหลายๆอย่างเรารับรู้ได้หรือไม่
เพียงสุขก็สุขเพียงชั่วคราว เท่านั้น
ถึงทุกข์ให้ทุกข์สักเท่าไหร่ไม่นานก็จะผ่านไป
สำคัญที่สุขในใจเราจะให้หลงอยู่กับสิ่งใดสิ่งนั้นจนเหลิงและท่วมใจจนทุกข์ระทม
วันนี้ท่านสุขก็ให้รู้ว่าสุขนั้นไม่นาน
ถึงท่านทุกข์ก็ให้รู้และฝ่าไปให้พ้นเพราะไม่นานก็จะผ่านไป
หัดและเรียนรู้และอยู่ให้ได้ถึงจะเรียกว่าเราเป็นพุทธะที่แท้จริง

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ผศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต.....มากกว่าที่เป็น

สำหรับท่านผู้ที่รักการออกแบบ และ มีจิตใจสร้างสรรค์ บวกกับอีกหนึ่งใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คงจะพอรู้จักสถาปนิกหนุ่มไฟแรงท่านนี้  ผศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต ซึ่ง I Like iT ขอนำมาแอบนิยมในความสามารถของท่านไว้ ณ ที่นี้


ผศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต
การศึกษา
พ.ศ.2533: ปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ (Architectural Studies) University of Washington
                 ปริญญาตรี ด้านการออกแบบภายใน (Interior Design) University of Washington
                 ปริญญาตรี การจัดการโครงสร้าง (Construction Management) University of Washington
พ.ศ.2534: ปริญญาโท สถาปัตยกรรมศาสตร์ University of Washington / Rheinish – Westfalishe Technische Hochschule,   Aachen
พ.ศ.2545: ปริญญาเอก สถาปัตยกรรม เทคโนโลยีการออกแบบ Massachusetts Institute of Technology(MIT)
GREEN DESIGN 
ดร.สิงห์ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่เป็นที่รู้จักกันดีกับผลงานออกแบบและสร้างสรรค์เฟอร์นิเจอร์และของแต่ง บ้านแบรนด์ Osisu ซึ่งล้วนทำมาจากวัสดุเหลือใช้ต่างๆ หรือจะเรียกง่ายๆ ว่า “ขยะ” นั่นเอง


ท่านว่า
“เริ่มต้นที่ทำเฟอร์นิเจอร์จากเศษวัสดุ เพราะเป็นสถาปนิกเลยได้เห็นเศษวัสดุจากงานก่อสร้าง อย่างเศษปูน เศษไม้ เศษเหล็ก ก็มาคิดว่าทำอย่างไรจะไม่ให้มีขยะออกไปจาก site งาน เพราะรู้สึกผิดที่เราทิ้งของดีๆพวกนี้ไป คือเศษวัสดุพวกนี้มันก็ยังเป็นของที่ไม่ได้เน่าเปื่อย เป็นของที่ยังดีๆ อยู่ เลยนำมาทำเป็นเก้าอี้ โต๊ะ เตียง เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ๆ ทั้งหลาย” 

 ท่าน ยืนยันว่าไม่ได้นึกถึงเรื่องธุรกิจการค้า มากไปกว่าการหวังจะเผยแพร่แนวคิด ด้วยเหตุนี้แบรนด์ OSISU จึงพิสูจน์ตัว ด้วยการไม่เคยจดสิทธิบัตร เพราะไม่กลัวการลอกเลียนแบบ แต่กลับอยากให้ทุกผลิตภัณฑ์เป็นต้นแบบที่มีผู้นำไปพัฒนาต่อ 
ทุกวันนี้ท่านได้เปิดวิชาเรียน Scrap Lab ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นวิชาการออกแบบเศษวัสดุ เปิดสอนทั้งนักศึกษาปริญญาตรีและโท รวมทั้งบุคคลภายนอก หรือผู้ประกอบการก็มาร่วม workshop ด้วยได้ 
ท่านบอกต่อว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา มนุษย์ทิ้งขยะแบบนี้กว่า 40 ล้านตันต่อปี ขยะบางชนิดต้องใช้เวลาเป็นพันๆ ปีกว่าจะย่อยสลายได้ บางชนิดยิ่งเผายิ่งสร้างมลพิษ ทุกอย่างกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมไปหมด ดังนั้น ท่าน จึงเกิดความคิดว่า หากสามารถนำขยะพวกนี้กลับมาสร้างเป็นชิ้นงานที่มีประโยชน์ต่อการใช้สอยได้ อีกครั้งก็คงจะดีไม่น้อย

แรงบันดาลใจ
"การสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆมีหลายวิธีมากครับ บ่อยครั้งเราคิดไม่ออก ทุกคนจะรู้ว่าเวลาผมไปไหนจะมีสมุดโน๊ตติดตัวเสมอ วิธีของผมง่ายๆก็คือ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเวลาไหน จะกี่โมงกี่ยาม มันจะถูกจดทันที พอถึงเวลาที่ผมคิดไม่ออก อาจจะตันเพราะแก่ ผมก็จะยังมีข้อมูลที่เซลล์สมองฉลาดๆคิดไว้ จดอยู่ในสมุดสเก็ตช์ตลอดเวลา คนอาจจะคิดว่าทำไมผมคิดได้ตลอดเวลา ที่จริงไม่ใช่ครับ พอคิดไม่ออกก็ไปเปิดดูในสมุดนี้ มันก็สิ่งที่สมองเราคิดมาก่อนแล้วทั้งนั้น นี่คือสิ่งที่ผมใช้ครับ"
แนวความคิดกับงานสถาปัตยกรรม 
ท่านได้ให้แนวคิดไว้น่าสนใจดีครับ

"สถาปัตย์เป็นงานที่สนุกนะครับ เพราะมันต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์จริงๆ คำว่าศาสตร์นี่คงเข้าใจล่ะ คือใช้เลข วิศวกรรม แต่ศิลป์เนี่ยสิ ศิลป์ไม่ใช่ความสวยงามอย่างเดียวนะครับ ศิลป์หมายถึงศิลปะการพูดก็ได้ ศิลปะการนำเสนองาน ศิลปะการแต่งกาย ทุกอย่าง บางทีถ้าเราแต่งตัวดีมาก แต่ลูกค้าเราคือการเคหะฯ นั่นคือความไม่ฉลาดของสถาปนิกคนนั้นด้วยซ้ำ เหมือนเราไม่เข้าใจเค้า แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเรามีลูกค้าเป็น ยี่ห้อแอร์เมส หรือหลุยส์วิตตอง แล้วคุณใส่ขาสั้นลากรองเท้าแตะเข้าไปก็ไม่เหมาะแน่นอน ถ้าลูกค้าให้งบคุณมาห้าร้อยล้าน จัดปาร์ตี้แค่สามสี่วัน ในฐานะนักออกแบบ exhibition ออกแบบอาคารของเขา มันเป็นศิลปะตั้งแต่ตัวเรา ไปจนถึงการพูดของเรา ผลงานของเรา กระบวนการคิดทั้งระบบคือความสนุกในสายตาของผม

แต่บางครั้ง ถ้าเราปรับเปลี่ยนตามลูกค้ามาก มันก็จะเหมือนหญิงบริการหรือชายบริการ คือเราไม่มีจุดยืนของเราเลย มันไม่ได้ คือเหมือนไปคอยรองรับอารมณ์คนอื่นตลอดมันไม่ได้ เราต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องปรับตัวให้เข้าใจในสถานการณ์นั้นๆ เพราะเราไม่ได้ขายบริการในลักษณะที่ไม่ใช่องค์ความรู้มาช่วย ถ้าเราเจอลูกค้าแล้วครับๆ ได้ครับอยู่ตลอดเวลา เราจะไม่มีความสนุกกับงานเลย"

บทส่งท้าย
ท่านไม่ได้เป็นแค่เพียงสถาปนิกเพียงเท่านั้น แนวความคิด การที่กล้าที่จะทำกล้าที่จะเปลี่ยน การนำเอาสิ่งที่หลายคนมองข้ามมาใช้ประโยชน์เท่าที่จะสามารถ อีกทั้งแนวทางการอนุรักษ์โลกที่ท่านทำ รู้สึกเป็นเกียรติในชีวิตเป็นอย่างยิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยได้สัมผัสมือกับท่าน ณ อุทยานการเรียนรู้ เมื่อท่านไปปาฐกถาในครั้งนั้น




วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

28 ข้อคิดในการใช้ชีวิตให้มันดีกว่า

มีอะไรดีๆก็อยากจะเก็บมา Like iT กัน  28ข้อคิดนี้ได้รับมาจากเพื่อนคนหนึ่งผ่านจาก Fw Mail อ่านดูแล้วอมยิ้มได้เสมอ และ ดูบางข้อนั้นช่วยให้โลกเป็นสุขได้เลยชอบ


1.อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะทั้งชีวิตเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้ ข้อนี้โหดร้ายมาก
2.เมื่อมีคนเล่าว่าเขามีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญ จง เป็นผู้ฟังที่ดีอย่าไปคุยทับ อย่าไปขัดคอ ปล่อยเขา
3.จงตั้งใจฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเท่านั้น
4.หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ตามทางบ้างเพราะมีอะไรดีๆบางอย่างซ่อนอยู่ แบบว่าเราอาจจะมองข้ามไปทุกๆวันโดยไม่ทันรู้ตัว
5.จะคิดทำการใดจงคิดการให้ใหญ่เข้าไว้ แต่ให้เติมความสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย อย่าไปเครียดเยอะ
6.หัดทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้ คิดดีทำดีอย่างจริงใจไม่หวังผล
7.จงจำไว้ว่า ข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น โลกไซเบอร์ล่ะตัวดี
8.เวลาเล่นเกมกับเด็กๆก็ปล่อยให้เด็กชนะไปเถอะ  เขาจะได้มีกำลังใจแต่อย่ายอมจนเหลิงล่ะเดี๋ยวจะไม่รู้จักโลก
9.ใครจะวิจารณ์เรายังงัยก็ตาม อย่าเสียเวลาไปโต้ตอบ แต่ให้ปรับปรุงตนเอง มองและคิดก่อนให้เห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่มีคนมาใส่ใจเรา
10.จงให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”มันมากเกินไปและคนที่เขารักเราจริงมันควรจะไม่ผิดกับเราบ่อยๆเกินไป
11.อย่าให้วิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานไม่มีความสุขก็ลาออกดีกว่าเพราะอย่างไรก็จะไม่เกิดผลดีใดๆ
12.ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้แต่แรกหรอกอันนี้เราเองต้องคิด
13.ใช้เวลาให้น้อยๆในการคิดว่า”ใครผิด” แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า”อะไร” เป็นสิ่งที่ผิดหาเหตุจะได้แก้ หาคนผิดมีแต่ยิ่งแย่
14.จงจำไว้ว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับ ” คนโหดร้าย ” แต่กำลังสู้กับ ” ความโหดร้าย ” ในตัวคน
15.โปรดคิด คิด คิด และคิดให้รอบคอบ ก่อนที่จะให้เพื่อนเรามีภาระในการเก็บรักษาความลับเพราะมันยากเหลือเกินที่จะรักษา
16.ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะในสงครามใหญ่
17.เป็นคนถ่อมตน จำไว้ว่าคนอื่นทำอะไรต่อมิอะไรสำเร็จกันมามากมายก่อนเราเกิดเสียอีกข้อนี้ใช่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
18.ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายสักเพียงใด จงสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้ แต่จงพร้อมในจิตใจเสมอ
19.มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ สังคมไทยเป็นผู้น้อยต้องค่อยๆพนมกร
20.อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นต้องเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามว่า ” เป็นไง?” ตอบไปเลยว่า ” สบายมาก”
21.อย่าพูดว่าเรามีเวลาไม่พอ เพราะทุกคนในโลกก็มีเวลาวันละ 24 ชม.เท่ากันหัดใช่หัดดูว่าอะไรสำคัญกว่า
22.จงเป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้วถูกต้อง
23.ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานตนเอง ไม่ใช่มาตรฐานคนอื่นเพราะคนเรานั้นต่างกัน
24.จริงจัง และเคี่ยวเข็ญต่อตนเองให้มาก แต่จงอ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
25.ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพโดยสุจริต ไม่ว่างานนั้นจะดูแย่แค่ไหนในสายตาคนรอบข้างค่าของคน
26.คำนึงถึงการมีชีวิตให้ ” กว้างขวาง ” มากกว่าการมีชีวิตเพื่อ ” ยืนยาว ”คงหมายถึงคุณค่าที่มีไม่ใช่แก่แบบไร้ค่าไปวันๆ
27.(บางครั้ง) อย่าไปหวังเลยว่าในชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม  โลกมันเศร้า
28.ว่ากันว่ามี 3 สิ่งที่ไม่ควรถูกทำให้แตกหรือทำลาย ได้แก่ ของเล่นเด็ก คำสัญญาและจิตใจของใครๆ ก็ตาม   เพิ่มอีกข้อ "รอยยิ้ม"

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

พัก

พักยก!!!เจ้าของบล๊อคกำลังอพยพหนีน้ำ

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สงบ


ความ สงบนั้นหมายถึง ความไม่วุ่นวาย ความ ไม่ดิ้นรน ความไร้ซึ่งปัญหาความเดือดร้อน
ไร้ซึ่งปัญหาหนักหน่วงถ่วงจิตใจ ไร้ความขัดแย้ง 
เป็นความราบรื่น เย็นใจ ไม่เร่าร้อน หรือถูกกดดัน  
ซึ่ง อาจเรียกอีกอย่างว่า วิเวก หรือ สันติ ก็ได้ 
ความสงบเป็นความสุขที่มีอยู่ในตัวเราทุกๆ คน
เราสามารถทำให้เกิด ทำให้เจริญขึ้นได้อย่างง่ายดาย
และเป็นความสุขที่ลึกซึ้ง ลุ่มลึกเย็น และอิ่มเอิบ 
หาความสุขใดเทียบได้ยาก 
แม้พระพุทธองค์เองท่านยังสรรเสริญความสุขที่เกิดจากความสงบ
ว่าเป็นสุดยอด แห่งความสุขชนิดหนึ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

ผู้กองแคน...........ความดีที่ไม่เคยลืม

บล๊อคนี้ตั้งใจอย่างมาก วงไว้ในปฎิทิน....มาสามปีแต่ก็พลาดตลอด...เพราะงาน...ผมศรัทธา ในแนวคิดของท่านผู้กองมากๆ....ขอนำความดีของท่านมาแสดงไว้ในที่นี้ครับ
 
ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข  รอง ผบ.ร้อย รบพิเศษ 1 (รพศ 1) กก.1 กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ (ตชด.) ค่ายนเรศวร จ.เพชรบุรี ซึ่งเสียชีวิตเมื่อเช้าวันที่ 29 ก.ย2550.ที่ผ่านมา จากเหตุการปะทะกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ที่บริเวณเนินเนาวรัตน์หรือเนิน 9 ศพ ระหว่างบ้านสายสุราษฏร์ บ้านภักดี หมู่ที่ 3 ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งขณะเกิดเหตุ ร.ต.อ.ธรณิศ เป็นหัวหน้าชุด นำกำลัง 12 นาย ออกลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยตามปกติ เมื่อลาดตระเวนมาถึงที่เกิดเหตุ คนร้ายไม่น้อยกว่า 20 คน ซุ่มอยู่บนเนินสูงใช้อาวุธสงคราม ทั้ง อาก้า เอ็ม 16 และลูกซอง กราดยิงใส่ จนเกิดการปะทะกันดุเดือดนานกว่า 20 นาที และคนร้ายได้อาศัยความชำนาญในพื้นที่และป่าทึบ หลบหนีไป หลังเสียงปืนสงบ เมื่อเข้าตรวจเคลียร์พื้นที่ พบว่า ร.ต.อ.ธรณิศ ถูกยิงเสียชีวิต

่านผู้กอง เป็นชาวขอนแก่นโดยกำเนิด เป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่น 38 นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 54 เป็นบุตรของ รศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ศรีสุข คณบดี คณะวิทยาศาสตร์ ม.ขอนแก่น กับนางนิธิวารี ศรีสุข ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วมีพี่น้องร่วมบิดา-มารดารวม 2 คน สอบเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจได้อันดับที่ 1 ของรุ่น เมื่อจบการศึกษา ได้รับการบรรจุเป็น ผู้บังคับหมวดหน่วยรบพิเศษ และเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังเกิดเหตุ คนร้ายปล้นอาวุธปืนกองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อต้นปี 2547 และหมุนเวียนปฏิบัติหน้าที่ ในพื้นที่ จ.ปัตตานี นราธิวาส และสุดท้าย ที่ จ.ยะลา เคยปะทะกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบหลายครั้ง
 
รศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ศรีสุข ได้เล่าถึงเรื่องราวบางตอนของบุตรชายให้เราได้รู้กันว่า

"
สมัยนั้นนักเรียนวัยรุ่นในขอนแก่นจะรู้จักแคนมาก แคนเป็นคนรักเพื่อน ชอบการต่อสู้ผจญภัย เคยแอบไปชกมวยชิงรางวัลตามหมู่บ้านมา 2-3 ครั้ง จนหมอแจงซึ่งเป็นคุณแม่ตกใจ

ต่อมาแคนไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร โดยเลือกเหล่าตำรวจและสอบได้เป็นที่หนึ่งในส่วนของตำรวจทำให้ทุกคนในครอบครัวภูมิใจในตัวแคนมาก ระหว่างที่เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 38 แคน ซึ่งมีคะแนนสอบยอดเยี่ยมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายตอน 4 ทำหน้าที่นักเรียนปกครองบังคับบัญชาดูแลรุ่นน้องและเพื่อน ๆ และเมื่อขึ้นเหล่าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 54 แคนก็ได้เป็นนักเรียนบังคับบัญชา เป็นนักกีฬาหลายประเภท เป็นหัวหน้าชมรมยูโด นักแม่นปืน นักมวย ฯลฯ


ท่านผู้กองสอบได้ที่หนึ่ง ซึ่งความจริงมีสิทธิที่จะเลือกไปประจำการที่ไหน ที่ๆสบายกว่านี้เสี่ยงน้อยกว่านี้ก็ได้แต่ท่านก็เลือกไปประจำในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ขออ้างถึงคำนิยมหลังปกที่ พลตำรวจเอก วสิษฐ  เดชกุญชร เขียนไว้ในหนังสือ "ความฝันอันสูงสุด ผู้กองแคน ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข" ที่ผม ประทับใจกับข้อเขียนที่เขียนไว้ว่า

 

“หลาย คนเห็นว่าชีวิตของคุณธรณิศสั้นเกินไป เขาควรจะได้อยู่นานกว่านั้น เพื่อทำประโยชน์ให้มากขึ้น แต่น้อยคนนักที่จะติดหรือเห็นว่า แม้เพียงอยู่ในโลกเพียง ๓๐ ปี คุณธรณิศก็ได้ใช้ชีวิตของเขาให้เป็นประโยชน์แก่คนไทยและแก่เมืองไทยที่เขา รักแล้วอย่างเต็มภาคภูมิและบริบูรณ์  

          ต่าง กับคนอีกเป็นจำนวนมากที่ทีอายุยืนยาวกว่าเขาหลายสิบปี และทำแต่สิ่งที่ไร้ประโยชน์หรือเป็นโทษ ทั้งแก่ตัวเอง แก่คนไทย และแก่เมืองไทย”



วีรกรรมของร.ต.อ.ธรณิศ หรือ"ผู้กองแคน" ใช่จะเป็นที่จดจำของเหล่าเพื่อนนรต.54 เท่านั้น แต่จะเป็นวีรกรรมที่ตำรวจทั้งหมด รวมทั้งประชาชนชาวไทย จะต้องจารึกไว้ในความทรงจำตลอดไป.....

 คุณค่าของชีวิตกับความดีที่เลือกที่จะทำ.........




 


วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

อยากได้ยินว่ารักกัน...


ดูที่เคเบิ้ลเพราะ สำหรับเราการไปดูที่โรงภาพยนต์นั้นยาก และ จริงๆไม่ชอบเท่าไหร่ เพราะมันคนหมู่มาก จำได้เคยไปดูคนเดียวที ลำบากลำบนไม่รู้ว่าจะต้องเอาแขนไปวางด้านไหนดี ได้แต่นั่งตัวลีบๆลำพัง .....กลับมาต่อจำได้ว่าทีแรกไม่ค่อยสนใจเพราะดูเพียงเอาเสียงเป็นเพื่อน แต่พอได้ฟังบางประโยคในหนังก็รู้สึกคุ้นๆกับตัวเอกของเรื่องที่ชื่อ"สอง" เหมือนรู้จักกันดีเลยเลย แบบสนิทดีด้วยล่ะ และแล้วก็เลยนั่งดูแบบตั้งอกตั้งใจ แอบอินเข้าไปในเนื้อหาหน่อยๆ....และก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเอามาใส่ไว้ใน I LIKE IT ให้ได้.......

ความสนุกและเนื้อหาอันนี้ถ้าใครสนใจก็ลองไปหาดูกันเอาเองนะ.......เพราะคนสร้างคนทำเขาจะได้ได้กันบ้าง หรือ เราเล่าเนื้อหาอาจจะไม่ครบถ้วน  เพราะก็จะเลือกเฉพาะตอนที่ชอบเท่านั้น.....ซึ่งเยอะ อาทิ


"บางคนแม่ ง ! . มีคนโทรมาตั้ง 12 สาย เสือกไม่รับ. แต่บางคนนี่ดิ!!! อยากให้คนโทรมาฉิบหาย เสือกไม่มีสักสาย"   อุตส่าห์มีโทรศัพท์แพงๆใช้.....แต่ไม่มีใครโทรมาหาเลยมีแต่เรื่องงาน ไอ้ที่จะถามว่าเหนื่อยมั้ย หิวมั้ยไม่มี(อันหลังเนี่ยใส่เข้าไปเอง อินอีกแล้ว)

อารมณ์ที่เอาคนนั้นคนนี้มาแอบปลื้ม มาแอบฝันเล็กๆน้อยๆของนายสอง....มันน่ารักดี..สนุกดีถึงเขาไม่รู้ก็เถอะ.. แล้วก็พยายามทำดีให้เขา...อืม 



อีกตอนที่นายสองไปเจอนางเอกของเรื่องที่หน้าบ้านนายก้าวหลังจากที่รู้ซึ้งแล้วว่าคนที่ตัวเองปลื้ม(นางเอก)เป็นแฟนของเพื่อนที่เกิดมาฆ่าเขามาตลอดตั้งแต่เด็ก อารมณ์ตอนนั้นมันเสียใจอยู่แล้ว แต่นางเอกที่เขารักกลับเข้าใจไปว่าเป็นแผนการของเขา.....โอ้ย!!!จี๊ดดดดดด ฮ่าๆๆๆๆๆๆ สมน้ำหน้าตัวเอง


"แปลกนะเพลงเดียวกัน จากที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากมาย กลับเป็นเพลงที่เรา แม้อยากจะฟังมันอีกเลย." พอนายสองรำพันเสร็จ อันตัวเราก็ได้คิดว่า........นี่แหละโลก...สุขและทุกข์ มันคู่กันจริงๆ

เมื่อนางเอกมาหานายสองด้วยอาการเสียใจที่นายก้าวไม่เข้าใจ.....แล้วให้พาไปที่ไหนก็ได้ เขาตัดสินใจพานางเอกกลับไปที่บ้านของเขา แล้วเมื่อเขาต้องตัดสินใจบอกเรื่องที่เขารุ้สึกว่าผิดต่อพ่อเขามาตลอด แต่ขึ้นชื่อว่าพ่อ ความรู้สึกที่สองได้กลับมาคือบ้านนี้พร้อมเป็นที่พักพิงสำหรับเขามาตลอด....และสิ่งที่คนชนิดนายสองต้องเป็นก็คือทนเห็นคนที่ตัวเองรักทุกข์ใจไม่ได้.....สุดท้ายเขาก็ได้เป็นพระเอกตัวจริง...จัดเต็ม...จัดหนัก...เพื่อคนที่เขารักรอบๆตัว ถึงสุดท้ายเขาจะไม่ได้อะไรเลย...ได้แค่รอยยิ้มเปื้อนน้ำตาพร้อมคำขอบคุณจากนางเอก......นี่ก็ปวดใจ




อาการที่ต้องเก็บอะไรอะไรบางสิ่งเอาไว้ในใจ.....หรือการเป็นคนที่ถูกลืมบ่อยๆ....หรือ เมื่องานเสร็จคุณก็จะไม่เห็นเขา....อย่างนายสอง มันน่าสงสาร หรือ สมน้ำหน้าดี.....ผมเข้าใจแล้ว การที่เพลงบางเพลงมันยังดังซ้ำๆบ่อยๆถึงแม้อารมณ์มันจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม...และ   

"บางทีผมว่าการที่เรารักใครคงไม่จำเป็นต้องบอกว่ารักมั้งพี่ ... แค่แบบเราได้เห็นคนที่เรารักเนี่ยยิ้ม...มีความสุข หรือเวลาเขาทุกข์เขานึกถึงเราเป็นคนแรก แค่นี้ผมก็สุขมากๆ" ประโยคหลังนี่นายสองเขาพูดอีกแล้ว.........

"หนังของผู้ด้อยโอกาสทางความรัก"











วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ยิ่งมืดยิ่งเห็นดวงดาว.......และ ยิ่งเสียยิ่งได้



ยิ่งมืดยิ่งเห็นดวงดาว


ไม่มีใครเกิดมามีพร้อม ชีวิตโรยด้วยกุหลาบ
ไม่มีใครที่มีชีวิตที่ดี ที่แสนงดงามอย่างนั้น
ไม่มีใครฝืนโชคชะตา หลีกปัญหาที่ฟ้ามีคำสั่ง
ในชีวิตต้องมีสักครั้ง ต้องเจอกับอุปสรรคนานา

แค่ลุกขึ้นมา ลืมตาเผชิญทุกเรื่องไป
ให้ปัญหาคือความท้าทาย ไม่มีอะไรไม่คลี่คลาย

ยิ่งมืดยิ่งเห็นดวงดาว ส่องสกาวที่บนฟากฟ้าไกล
ยิ่งมืดเท่าไหร่ ยิ่งมองเห็นแสงดาวที่สดใส
เพิ่งจะได้รู้ บนฟ้ามืดดำ มีความงดงามซ่อนไว้
ที่แท้ความจริง ยิ่งมืดเท่าไหร่ ยิ่งเห็นดวงดาวเท่านั้น

สิ่งที่ฉันได้เคยเรียนรู้เคยเสียน้ำตามากมาย
ต้องเจอะเจอกับสิ่งเลวร้ายเมื่อต้องเสียใจต้องผิดหวัง
สิ่งที่เจอแม้จะหนักหนาและมืดมัวไปเสียทุกทุกอย่าง
แค่บอกตัวเองแหงนมองบนฟ้าทางออกยังมีให้เรามากมาย

แค่ลุกขึ้นมา ลืมตาเผชิญทุกเรื่องไป
ให้ปัญหาคือความท้าทาย ไม่มีอะไรไม่คลี่คลาย

ยิ่งมืดยิ่งเห็นดวงดาว ส่องสกาวที่บนฟากฟ้าไกล
ยิ่งมืดเท่าไหร่ ยิ่งมองเห็นแสงดาวที่สดใส
เพิ่งจะได้รู้ บนฟ้ามืดดำ มีความงดงามซ่อนไว้
ที่แท้ความจริง ยิ่งมืดเท่าไหร่ ยิ่งเห็นดวงดาวเท่านั้น
ชีวิตไม่ได้มืดไปทุกอย่าง ยังมีทางออกเสมอ


หลายคนกลัวที่จะเสียไป พอเสียไปบางทีก็ฟูมฟายไปเสียยกใหญ่ 
ตีอกชกหัวกันไปซะ 
คิดว่ามันเสียมันก็เสีย แบบยิ่งเสียกันไปอีกมากมาย
เสียใจ พอมากๆก็ไปเสียสตางค์กินเหล้าเมายา เสียสติ
เสียสติมากๆอาจจะไปเสียอย่างอื่น อาจจะถึงขั้นเสียชีวิต
คิดว่าเสียมันก็เสีย
แต่ลองคิดแบบดีๆเข้าข้างตัวเองบ้าง
ว่าไอ้ที่เสียไปมันอาจจะดีกว่า ว่าเราจะได้เจอสิ่งใหม่ๆที่มันยิ่งดีกว่า
บางทีลิขิตฟ้าเค้ามาช่วย ให้สิ่งไม่ดี มันพ้นผ่านไป ไม่งั้นมันจะยิ่งแย่
เพราะถ้าสิ่งที่เสียไปมันดีจริง มันคงไม่ทำให้เราเสียอย่างนี้ 
ค่อยๆออกมาจากที่มืด มาหาแสงใหม่กันเถอะ
แล้วจะรู้ว่าไอ้ที่คิดว่ามันเสีย จริงๆแล้วมันได้มากกว่าเสียอีก
ชีวิตก้าวเดินต่อไป สิ่งที่ผ่านล้วนเป็นสิ่งที่สอนตัวเรา
ว่าแต่ตอนนี้ ขอไฟฉายหน่อย มืดจังมีแค่เทียนเล่มน้อย กลัวดับจังเลย............


 แบบอยู่ให้สุขบนความทุกข์ของเราให้ได้  ไม่งั้นจะเสียชาติเกิด





วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แสงในความมืด คือ ธรรม

ในโลกของบุคคลทุกคน การจะเจอจะพบกับคนที่ถูกใจไปเสียหมดนั้นไม่มี
หากโชคดีพบคนดีย่อมจะเจริญในจิตใจ เราก็จะอาสาช่วยและนำพากันไปในสิ่งดี
หนทางดำเนินชีวิตก็จะสงบและสุข
แต่หากพบกับบุคคลที่เอาเปรียบ เห็นแก่ตัว หรือคิดคดในใจกับเรา
มาต่อว่า นินทา ให้ร้ายทั้งต่อหน้า และ ลับหลัง
หลายๆคนค้นหาทางออกว่าจะจัดการกับคนเหล่านี้อย่างไร
บ้างก็ตาต่อตาฟันต่อฟัน ให้รู้กันไปอย่างที่ฉันก็เกิดมาหนึ่งครั้งต้องไม่เสียทีใคร
ซึ่งบางปัญหานั้นก็อาจจะไม่จบอย่างสวยงาม หรือ อาจจะเกินเลยลุกลามใหญ่โต

ในทางธรรม พระพุทธเจ้าเคยถูกอักโกสกพราหมณ์ มาต่อว่าพระพุทธเจ้า
ว่าแย่งชิงลูกศิษย์ท่านไป พระพุทธเจ้าก็นั่งฟังอักโกสกพราหมณ์ต่อว่าจนจบ 
แล้วถามว่าหายเหนื่อยแล้วใช่ไหม
คราวนี้ก็ถามว่า ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลที่มาเยือนถึงเคหาของท่านๆ
ย่อมนำเอาของเคี้ยวของฉัน ตลอดจนถึงน้ำท่ามาให้ท่าน
ถ้าท่านไม่กินไม่ใช้ ของเหล่านั้นจะตกแก่ใคร
อักโกสกพราหมณ์ก็บอกว่าย่อมเป็นของผู้ที่นำมาให้อยู่
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า นั่นแหละที่ท่านมาด่ามาว่าเรา
ตถาคตไม่รับเสียอย่างแล้วจะตกอยู่กับใคร อักโกสกพราหมณ์ได้ฟังก็เลยได้คิด
ยอมกราบพระพุทธเจ้า และกล่าวว่า ดูก่อน พระสมณโคดม
ภาษิตของท่านแจ่มเจ้งยิ่งนัก เหมือนอย่างกับหงายของที่คว่ำขึ้นมา
เหมือนอย่างกับประทานแสงไฟให้ผู้ที่อยู่ในความมืดอย่างนี้ 
แล้วท่านก็ปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัย

การระงับใจ ระงับกายไม่ให้โกรธนั้นเป็นสิ่งที่ยากหากขาดสติ
ในบางกรณีในโลกความเป็นจริง เราเองก็อาจจะเผลอ
เพราะเรายังอยู่ในโลกียธรรม แต่ก็ให้ระลึกเสมอ หมั่นเตือนตัวเองบ่อยๆ
หงายใจตัวเองนั้นไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากไปจนเกิน
โลกียธรรมเป็นวิสัยของคนผู้ที่ไม่รู้  ไม่รู้ทิศทางออกนั่นเอง  
ไม่รู้ทางออกไปจากทุกข์
โลกุตรธรรมรู้จักทางออก ซึ่งอันนี้ก็ต้องค่อยๆศึกษากันต่อไป
คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ นั้น  สอนให้เราประพฤติปฏิบัติ
 เพื่อทำลายความหลงผิด  ความหลงผิดที่เกิดขึ้นนั้น  ท่านว่าเป็นทุกข์ 
ทุกข์เพราะเรามีความโกรธ ทุกข์เพราะอาฆาต โกรธเขาเราก็ได้กลับมา
เขาโกรธเรา ว่าเรา ให้ร้ายเรา เราไม่รับเขาก็ได้ไป....เท่านั้นเอง อย่าไปรับเลย
มาลองหงายใจกันดู


ภาพประกอบถ่ายจาก มิวเซียมสยาม เมื่อคราวที่ได้ไปมา



วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทางที่ควร



เมื่อไม่กี่วันได้ลองตั้งใจตามท่านแม่ไปนั่งสมาธิหลังจากที่ครั้งหนึ่งตั้งใจไปแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ได้ครึ่งวันก็ถอนตัว ไปนอนที่โรงแรมรอรับท่านขากลับ คราวนั้นจะว่าอ้างก็เอาเถิด เพราะคืนก่อนไปทำงานจนหามรุ่ง พอไปนั่งก็เกิดอาการหลายอย่างทั้งง่วงจนทรงตัวไม่ไหว ทั้งเมื่อยไปหมดขยับอยุ่หลายทีกไม่รอดต้องลาพระพี่เลี้ยงไปแบบใจคิดว่าเรานี้คงบาปหนอที่ไม่สามารถนั่งทำใจให้บุญได้ ล้มเลิกไปนาน ไปผจญบาปเคราะห์ใหญ่ พอผ่านมาได้ก็พยายามปรับจิตเตรียมใจอยู่นาน อีกทั้งเวลา็ไม่เอื้อเสียที งานรุ่มเร้ามาก จนได้ตามท่านแม่ไปเสียที  ในใจนั้นตั้งไว้ที่ต้องทำให้ได้ อันนี้เป็นประการแรกก่อน จะสงบแค่ไหนยังไม่ได้หมายไปถึงประการนั้น เพราะสิ่งที่เรารู้เราแต่แรกคือเราต้องชนะเราให้ได้ก่อน เพราะข้ออ้างมันเยอะ อ้างนั้นอ้างนี้มาจนนาน  ยังไม่หวังว่าจะต้องรู้ซึ้งใดๆ ขอจุดเริ่มที่กายเราใจเราทำตามที่ตั้งใจให้ได้ก่อน ครั้งนี้ขอมาแบบให้สมที่ตั้งใจเป็นพอ
วันแรก  หวั่นๆเล็กน้อยกลัวจะทำไม่ได้อีก (แหม มารนี้มันตามเราไม่ลดละเลยนะ ) แต่เป็นไงเป็นกันฉันจะทำให้ได้ เอาโทรศัพท์ไปเก็บไว้ไกลๆ ได้ที่นั่งที่เหมาะ แล้วเราก็เริ่มกันเลย พระท่านก็ว่าไปชี้ทางไปเรื่อยๆตามหลักของท่าน ไอ้เราก็เริ่มต่อสู้กับสิ่งแรกเลยก็คือวามเมื่อย เมื่อยจัง พระท่านเหมือนจะรู้ ท่านก็บอกเมื่อยก็ขยับและให้รู้ว่าเมื่อย (เมื่อยจริงหนอเมื่อยริงหนอ)  เราก็พยายามจับจิตตามใจไปเรื่อยๆ อย่างที่บอกคราวนี้มาเพียงตั้งใจให้ได้ตามที่ตั้งใจไว้ก่อนเป็นพอ การที่คิดอย่างนี้เลยทำให้ดีไม่เคร่งเครียดเกินไป  นั่งฟังพระท่านสอนวิปัสสนากรรมฐานไปเรื่อยๆ ง่วงสลับเมื่อยไปพลางๆ   สาระที่ได้รับจะเอามาบอกกล่าวประมาณนี้
หลักใหญ่ในการปฏิบัติวิปัสสนาฯ มีหลักอยู่ ๓ ประการ คือ
อาตาปี ทำความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน
สติมา มีสติ คือระลึกอยู่เสมอว่าขณะนี้เราทำอะไร
สัมปชาโน มีสัมปชัญญะ คือขณะนี้ทำอะไรอยู่นั้นต้องรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา

วิธีปฏิบัติกรรมฐานเบื้องต้น (ัดมาจากจากหนังสือระเบียบปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี)
การเดินจงกรม
ก่อนเดินให้ยกมือไขว้หลัง มือขวาจับข้อมือซ้าย วางไว้ตรงกระเบนเหน็บ ยืนตัวตรง เงยหน้า หลับตา ให้สติจับอยู่ที่ปลายผม กำหนดว่า ยืนหนอช้า ๆ ๕ ครั้ง เริ่มจากศีรษะลงมาปลายเท้า และจากปลายเท้าขึ้นไปบนศีรษะ กลับขึ้นกลับลงจนครบ ๕ ครั้ง
แต่ละครั้งแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรก คำว่า ยืนจิตวาดมโนภาพร่างกาย จากศีรษะลงมาหยุดที่สะดือ คำว่า หนอจากสะดือลงไปปลายเท้า กำหนดคำว่า ยืนจากปลายเท้ามาหยุดที่สะดือ คำว่า หนอจากสะดือขึ้นไปปลายผม กำหนดกลับไปกลับมา จนครบ ๕ ครั้ง ขณะนั้นให้สติอยู่ที่ร่างกาย อย่าให้ออกไปนอกกาย
เสร็จแล้ว ลืมตาขึ้น ก้มหน้าทอดสายตาไปข้างหน้าประมาณ ๑ ศอก สติจับอยู่ที่เท้า การเดิน กำหนดว่า ขวา...” “ย่าง...” “หนอ...กำหนดในใจ คำว่า ขวาต้องยกส้นเท้าขวาขึ้นจากพื้นประมาณ ๒ นิ้ว เท้ากับใจนึกต้องให้พร้อมกัน ย่างต้องก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าช้าที่สุดเท้า ยังไม่เหยียบพื้น คำว่า หนอเท้าลงถึงพื้นพร้อมกัน เวลายกเท้าซ้ายก็เหมือนกัน กำหนดว่า ซ้าย...” “ย่าง...” “หนอ...คงปฏิบัติ เช่นเดียวกันกับ ขวา...” “ย่าง...” “หนอ...ระยะก้าวในการเดิน ห่างกันประมาณ ๑ คืบ เป็นอย่างมากเพื่อการทรงตัว ขณะก้าวจะได้ดีขึ้น เมื่อเดินสุดสถานที่ใช้แล้ว ให้นำเท้ามาเคียงกัน เงยหน้าหลับตา กำหนด ยืนหนอช้า ๆ อีก ๕ ครั้ง ทำความรู้สึกโดยจิต สติ รู้อยู่ตั้งแต่กลางกระหม่อม แล้วกำหนด ยืนหนอ๕ ครั้ง เบื้องต่ำตั้งแต่ปลายผมลงมาถึงปลายเท้า เบื้องบนตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมา ยืนหนอ๕ ครั้ง แล้วหลับตา ตั้งตรง ๆ เอาจิตปักไว้ที่กระหม่อม เอาสติตาม ดังนี้ ยืน.....” (ถึงสะดือ) หนอ.....” (ถึงปลายเท้า) หลับตาอย่าลืมตา นึกมโนภาพ เอาจิตมอง ไม่ใช่มองเห็นด้วยสายตา ยืน……” (จากปลายเท้าถึงสะดือ หยุด) แล้วก็ หนอ…….” ถึงปลายผม คนละครึ่ง พอทำได้แล้ว ภาวนา ยืน….หนอ....จากปลายผม ถึงปลายเท้าได้ทันที ไม่ต้องไปหยุดที่สะดือ แล้วคล่องแคล่วว่องไว ถูกต้องเป็นธรรม
 
การนั่ง
กระทำต่อจากการเดินจงกรม อย่าให้ขาดตอนลง เมื่อเดินจงกรมถึงที่จะนั่ง ให้กำหนด ยืน... หนอ...อีก ๕ ครั้ง ตามที่กระทำมาแล้วเสียก่อน แล้วกำหนดปล่อยมือลงข้างตัวว่า ปล่อยมือหนอ ๆ ๆ ๆ ๆช้า ๆ จนกว่าจะลงสุดเวลานั่งค่อย ๆ ย่อตัวลงพร้อมกับกำหนดตามอาการที่ทำไปจริง ๆ เช่น ย่อตัวหนอ ๆ ๆ ๆ” “เท้าพื้นหนอ ๆ ๆ” “คุกเข่าหนอ ๆ ๆ” “นั่งหนอ ๆ ๆเป็นต้น
วิธีนั่ง ให้นั่งขัดสมาธิ คือ ขาขวาทับขาซ้าย นั่งตัวตรง หลับตา เอาสติมาจับอยู่ที่สะดือที่ท้องพองยุบ เวลาหายใจเข้าท้องพอง กำหนดว่า พอง หนอใจนึกกับท้องที่พองต้องให้ทันกัน อย่าให้ก่อนหรือหลังกัน หายใจออกท้องยุบ กำหนดว่า ยุบ หนอใจนึกกับท้องที่ยุบต้องทันกัน อย่าให้ก่อนหรือหลังกัน   ข้อสำคัญให้สติจับ อยู่ที่พอง ยุบ เท่านั้น อย่าดูลมที่จมูก อย่าตะเบ็งท้องให้มีความรู้สึกตามความ เป็นจริงว่าท้องพองไปข้างหน้า ท้องยุบมาทางหลัง อย่าให้เห็นเป็นไปว่า ท้องพองขึ้นข้างบน ท้องยุบลงข้างล่าง ให้กำหนดเช่นนี้ตลอดไป จนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด  เมื่อมีเวทนา เวทนาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด จะต้องบังเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติแน่นอน จะต้องมีความอดทน เป็นการสร้างขันติบารมีไปด้วย ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความอดทนเสียแล้ว การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นก็ล้มเหลว ในขณะที่นั่งหรือเดินจงกรมอยู่นั้น ถ้ามีเวทนาความเจ็บ ปวด เมื่อย คัน ๆ เกิดขึ้น ให้หยุดเดิน หรือหยุดกำหนดพองยุบ ให้เอาสติไปตั้งไว้ที่เวทนาเกิด และกำหนดไปตามความเป็นจริงว่า ปวดหนอ ๆ ๆ” “เจ็บหนอ ๆ ๆ” “คันหนอ ๆ ๆเป็นต้น ให้กำหนดไปเรื่อย ๆ จนกว่าเวทนาจะหายไป เมื่อเวทนาหายไปแล้ว ก็ให้กำหนดนั่งหรือเดินต่อไป   จิต เวลานั่งอยู่หรือเดินอยู่ ถ้าจิตคิดถึงบ้าน คิดถึงทรัพย์สินหรือคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ นานา ก็ให้เอาสติปักลงที่ลิ้นปี่พร้อมกับกำหนดว่า คิดหนอ ๆ ๆ ๆไปเรื่อย ๆ จนกว่าจิตจะหยุดคิด แม้ดีใจ เสียใจ หรือโกรธ ก็กำหนด เช่นเดียวกันว่า ดีใจหนอ ๆ ๆ ๆ” “เสียใจหนอ ๆ ๆ ๆ” “โกรธ หนอ ๆ ๆ ๆเป็นต้น (ซึ่งขอบอกตรงๆอย่างไม่อายเลยว่าทำไม่ได้  ถามผู้ชำนาญการในภายหลังก็บอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของมือใหม่  จำได้วันนั้นกลับเห้นเป็นเรื่องสนุกไปคือพยายามนั่งจับจิตที่แสนจะวอกแว่กอยู่นานเท่าไหร่ก็ไม่หยุด เลยเพลินกับการจับจิตแบบคิดในใจว่าเมื่อไหร่เจ้าจะหยุดเสียที  อันนี้ก็บอกกันตรงๆเลยว่ายังจับจิตไม่ค่อยได้ ไม่อยากจะได้ชื่อว่าพอไปนั่งกับเขาหน่อยก็เอามาอวดคนนั้นคนนี้)
เวลานอน
เวลานอนค่อย ๆ เอนตัวนอนพร้อมกับกำหนดตามไปว่า นอนหนอ ๆ ๆ ๆจนกว่าจะนอนเรียบร้อย ขณะนั้นให้เอาสติจับ อยู่กับอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อนอนเรียบร้อยแล้วให้เอาสติมาจับที่ท้อง แล้วกำหนดว่า พอง หนอ” “ยุบ หนอต่อไปเรื่อย ๆ ให้คอยสังเกตให้ดีว่า จะหลับไปตอนพอง หรือตอนยุบ  อิริยาบถต่าง ๆ การเดินไปในที่ต่าง ๆ การเข้าห้องน้ำ การเข้าห้องส้วม การรับประทานอาหาร และการกระทำกิจการงานทั้งปวง ผู้ปฏิบัติต้องมีสติกำหนดอยู่ทุกขณะในอาการเหล่านี้ ตามความเป็นจริง คือ มีสติ สัมปชัญญะ เป็นปัจจุบัน อยู่ตลอดเวลา (อันนี้ก็นอนหนออยู่นาน สงสัยแปลกที่)

สรุปการกำหนดต่าง ๆ พอสังเขป ดังนี้
๑. ตาเห็นรูป จะหลับตาหรือลืมตาก็แล้วแต่ ให้ตั้งสติไว้ที่ตา กำหนดว่า เห็นหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกว่าเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ละความพอใจและความไม่พอใจออกเสียได้ ถ้าหลับตาอยู่ ก็กำหนดไปจนกว่าภาพนั้นจะหายไป
๒. หูได้ยินเสียง ให้ตั้งสติไว้ที่หู กำหนดว่า เสียงหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกว่าเสียง ก็สักแต่ว่าเสียง ละความพอใจและความไม่พอใจออกเสียได้
๓. จมูกได้กลิ่น ตั้งสติไว้ที่จมูก กำหนดว่า กลิ่นหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกว่ากลิ่น ก็สักแต่ว่ากลิ่น ละความพอใจและความไม่พอใจออกเสีย
๔. ลิ้นได้รส ตั้งสติไว้ที่ลิ้น กำหนดว่า รสหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกว่ารส ก็สักแต่ว่ารส ละความพอใจและความไม่พอใจ   ออกเสียได้
๕. การถูกต้องสัมผัส ตั้งสติไว้ตรงที่สัมผัส กำหนดตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ละความพอใจและความไม่พอใจออกเสียได้
๖. ใจนึกคิดอารมณ์ ตั้งสติไว้ที่ลิ้นปี่ กำหนดว่า คิดหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าความนึกคิดจะหายไป
๗. อาการบางอย่างเกิดขึ้น กำหนดไม่ทัน หรือกำหนดไม่ถูกว่า จะกำหนดอย่างไร ตั้งสติไว้ที่ลิ้นปี่ กำหนดว่า รู้หนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการนั้นจะหายไป
รายละเอียดเพิ่มเติมขอให้ไปตาม ลิ้งค์ได้เลยครับ http://www.jarun.org/v6/th/dhamma-meditation.html 

บทสรุปที่ได้ ก็คือเราสามารถทำได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้เมื่อก่อนจนได้อันนี้เป็นพอก่อน ถ้าท่านไม่เคยไปจะไม่รู้ว่ากว่าจะผ่านไปในหนึ่งวันมันยากมากกับการที่ต้องต่อสู้กับตัวเอง ส่วนเรื่องใจสงบอันนี้ไม่ได้ไปเท่าไหร่อย่างที่บอกมัวแต่สนุกกับการจับความคิดที่วิ่งเป็นลิงไปทั่วแต่ได้แนวทางไปใช้ในการกำหนดใจ สมาธิก็นับว่าพอถึงจะไม่ได้สงบเสียเท่าไรก็ไม่เป็นไรอย่างน้อยก็ได้เริ่มจุดเทียนในใจบ้างแล้ว ได้พาร่างกาย พาใจมาในทางที่สงบได้บ้างแล้ว  ทางที่ชอบที่ควร



วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฝากเอาไว้


ทุกเวลามีคุณค่าเสมอ

ทุกคนมีเวลาเท่าๆกัน

ทุกสิ่งไม่จีรังยั่งยืน

หากแต่เหลือให้จดจำคือความดี

หากเวลาที่มีเหลืออยู่เพียงน้อย

ให้กระทำแต่สิ่งดี

เพื่อให้สมกับที่เกิดมาในหนึ่งชาติ

ทำดีกับคน...นั้นไม่จําเป็นต้องให้เขารัก

ความรัก ควบคุมไม่ได้  บังคับไม่ได้


ทำดีให้ได้นะ..อย่าเอาแต่หลงลมเลย


วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

"SLOW LIFE" ช้าสักนิดเพื่อสุขที่ยั่งยืน


สังคมที่รีบเร่ง ชีวิตที่เร่งรีบขโมยความสุขของเราทุกคนไป บางคนหลงกับชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อ แสงสี และ สิ่งที่เป็นวัตถุสุขซึ่งเมื่อวัตถุเสื่อม สุขก็จะหายก็ต้องไขว่คว้ากันไปอีก ร้อนรนไม่เคยพอดี
ฉะนั้นความหมายของคำว่า SLOW LIFE จะได้ว่า "การใช้ชีวิตอย่างไม่เร่งรีบ อย่างช้า ๆ ไม่กระหืด กระหอบ หรือกระวนกระวาย" (ผมขอคัดความหมายมาจากนิตยสาร คู่สร้างคู่สม ที่คุณแม่อ่านประจำ โดยมีผมแอบยืมมาอ่านประจำเช่นกัน) ซึ่งผมก็แปลเอาแบบของผมก็คือ การใช้ชีวิตให้ช้าๆให้ได้รู้ว่าสุขในทุกเวลา เพราะถ้ารีบกันเกินไปบางทีเราก็ไม่เห็นคุณค่าในสุขเล็กๆน้อยๆมุ่งไปแต่สิ่งที่ใหญ่กันเกิน คำว่า SLOW LIFE แต่ตัวอักษรทั้งแปดตัวนี้สามารถเป็นคำย่อทั้งสิ้น มาจากคำในภาษาอังกฤษแปดคำ คือ
S - Sustainable  =  สามารถรักษาเอาไว้
ในความเข้าใจของผมคิดว่าคือการรักษาสภาพแวดล้อมต่างๆทั้งวัตถุและอารมณ์โดยรอบๆตัวเรา เพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จะมากระทบกับภาวะของตัวเราทำให้สุขลด หรือ เพิ่มจนเกินไป คือความพอดี
L - Local   =  ท้องถิ่น
คงเป็นการดำรงชีวิตให้เหมาะให้ควรกับสภาพที่ตนอยู่ แบบเข้ากับท้องถิ่นอาศัยโดยรอบๆหรือคนหมู่นั้นๆเพื่อไม่ให้เกิดความแปลกแยก เหลื่อมล้ำต่ำสูง หรือ การปรับสภาพตนเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ให้ได้แบบอยู่ให้มีความสุขในทุกที่ที่เราอยู่
O - Organic    =  ของแท้โดยกำเนิด
 ธรรมชาติอยู่กับสิ่งที่มีมาแต่กำเนิดไม่ย้อมแต่งจนเกิดทุกข์ หลายคนไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นก็ไปปรุงไปแต่งจนเกิดทุกข์ในที่นี้หากเราพอใจในสิ่งที่เป็นที่มีก็จะไม่ร้อนใจ
W - Wholesome =  ส่งเสริมสุขภาพ
ให้หันมาดูแลตัวเอง พินิจให้ละเอียดถ่องแท้ ทั้งสังขารและอารมณ์  การมีชีวิตที่สุข อย่างหนึ่งที่ควรจะมีก็คือสุขภาพของร่างกายและจิตใจที่ดี การลดมองแต่สิ่งเร้าภายนอก แล้วหันมาดูแลใส่ใจตัวเราเอง ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราพ้นทุกข์จากโรคภัยได้
 L - Learning    =  เรียนรู้
ผมคิดว่าหมายถึงการเปิดใจรับในสิ่งต่างๆ หากข้องใจก็ให้ศึกษาให้รู้แท้ถึงสิ่งเหล่านั้น ให้กระจ่างในความคิด อคตินั้นจะปิดกั้นตัวเรา แต่หากเราเปิดใจเรียนรู้และเรียนรู้ในการเลือกเฉพาะสิ่งดีๆ อคติก็จะหมดไป  เราก็จะลดการยึดติด เท่ากับเราได้ปล่อยใจของเราให้เป็นอิสระได้ หัวใจก็จะอิ่มเอิบในการจะเรียนรู้ในเรื่องใดๆจิตเราย่อมจดจ่อและนิ่งมุ่งมั่น นั้นเท่ากับสมาธิอย่างง่้ายๆจนเมื่อ เราเรียนรู้จนเกิดผล สิ่งนั้นคือปัญญา
I - Inspiring    =  แรงบันดาลใจ
การใช้ชีวิตของมนุษย์สิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้นำพาชีวิตไป และ ก่อบังเกิดสิ่งหลายๆสิ่งดีๆนั้นคือแรงบันดาลใจ หากมนุษย์ขาดสิ่งเหล่านี้ เราคงไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีรถยนต์ ไม่มีการไปเหยียบดวงจันทร์ แรงบันดาลใจนั้นผลักดันให้เกิดความมานะ พยายาม เคยคิดและฝันกันบ้างไหมการมีความฝันหรือแรงบันดาลใจเอาไว้หล่อเลี้ยงชีวิตผมว่าทำให้ใจเป็นสุขนะ หากแต่ไม่ใช่เอาแต่นั่งฝันกลางวัน หรือ เมื่อไม่ได้ดังฝันก็ร้อนรุ่มอันนี้รู้จักระงับใจกันได้หรือไม่อยากจะสุขก็ต้องรู้จักเลือกแรงบันดาลใจ ให้กับตัวในความคิดผม คือควรเลือกสร้างแต่แรงบันดาลใจที่ดีๆ พอเหมาะพอควรกับตน หากไม่พอมีแต่ความอยาก ชีวิตก้จะไม่สุขได้เสียที
F - Fun    =  สนุกสนาน เพลิดเพลิน
รู้จักเลือกใช้ชีวิตให้มีแต่ความสุข มองโลกสดใสเสมอ ข้อนี้สำคัญแต่บางคนตีความไปสนุกกันแบบสุดโต่ง เลือกอบายมุข อยากรู้จริงๆบั่นปลายมันจะสุขกันจริงๆหรือไอ้พวกคว้าได้แต่ลมสมน้ำหน้า

E - Experience  =  ประสบการณ์
คำว่าประสบการณ์ทำให้ชีวิตสุขได้อย่างไร เราสามารถใช้ประสบการณ์มาสอนตัวเองให้ทำแต่ความดี ไม่ใช่ใช่จะเลือกแต่ทางที่มัวเมาเสมออย่างนี้จะพ้นทุกข์อย่างไร ชีวิตยิ่งผ่านวันเวลา ประสบการณ์ยิ่งเยอะในทุกด้าน  เพียงแต่เลือกสิ่งใด เรื่องดีเราจดจำ เรื่องแย่ๆเราปล่อยทิ้งไม่เอามาใส่ในใจให้บั่นทอน

เหล่านี้เป็นแนวที่ผมคิดและเลือกใช้ในชีวิตที่"ช้าสักนิดเพื่อสุขที่ยั่งยืน" ผมเฝ้ามองถึงคนที่ร้อนรน ปล่อยตัวปล่อยใจ ถึงเขาอาจจะบอกว่าเขามีเงินทองมากมายมีความสุข แต่ใจเขาพบเจอสุขจริงหรือเปล่า สบตาผู้คน หรือ หลบตา หรือใช้ชีวิตไปวันๆหลอกลวงคนไปทั่ว แม้กระทั่งตัวเอง บางทีเขาอาจจะไม่พบเจอสุขที่แท้เลยก็ได้ตลอดชีวิต

อันนี้ผมคิดแบบของผมนะแบบเอาธรรมะเข้ามาประกอบให้ได้กับ SLOW LIFE การมีชีวิตที่สุขนั้นจริงๆไม่ยากเลย..แค่เลือกทำดีตั้งแต่วันนี้ แล้วก็จะพบสุข อันความสุขไขว่คว้าหาจากใครไม่ได้ ต้องสร้างเอง จะได้"อยู่อย่างให้รู้สุขในทุกเวลา"

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เพลง คำตอบ ศุ บุญเลี้ยง



สิ่งที่เธอถามยามต้องห่างไกล
ไม่อาจหาถ้อยคำใดๆ ตอบคำถามเธอ
ยังมิได้ดั่งใจ
ยังสงสัย ไม่คิดถึงกันหรือไร

ไม่ได้โทรหาแต่ส่งใจถึง
ฉันรำพันรำพึงไปกับสายลม

ซ่อนในความหนาว ซุกใต้ผ้าห่ม
ฝากแสงดาว สายลมไว้แทนคำตอบ

อยู่ในแสงดาว ถ้าเธอมองเห็น
อยู่ในแสงจันทร์นวลเสี้ยวนั้น

หากเธอมองหาสบในตาฉัน
อยู่ในดาวดวงนั้นที่เธอเฝ้ามอง

คงมีคำถามที่ไม่รู้จบ
อยากให้เธอพบถ้อยคำที่ไม่เอ่ยมา

เก็บความสงสัย
เก็บคำสัญญา
ให้ความห่างไกลของฟ้า พิสูจน์ใจ

อยู่ในแสงดาว ถ้าเธอมองเห็น
อยู่ในแสงจันทร์นวลเสี้ยวนั้น

หากเธอมองหาสบในตาฉัน
อยู่ในดาวดวงนั้นที่เธอเฝ้ามอง

คงมีคำถามที่ไม่รู้จบ
อยากให้เธอพบถ้อยคำที่ไม่เอ่ยมา
เก็บความสงสัยเก็บคำสัญญา
ให้ความห่างไกลพิสูจน์ใจ

ให้ความห่างไกลของฟ้าพิสูจน์ใจ




วันนี้เหลือเพียงความหวังดี และ ยังระลึกถึงเสมอ


วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

ทางที่มา และ ทางที่ไป


คนเรามีที่มาที่ต่าง ทางที่ไปก็ต่าง ตามหลักพระพุทธศาสนา จำแนกเส้นทางของคนมีสี่เส้นทาง ดังนี้
1 มืดมา มืดไป  คือเมื่อเกิดมาอาจจะมาพร้อมกรรมเก่าติดตัว เกิดมาแล้วก็ไม่เคยละบาป ไม่ทำบุญบารมี อ้างไปในเหตุต่างสารพัน ครั้นเมื่อตายไปก็จะไปในภพภูมิที่ต่ำ  จริงเอามาอธิบายให้ง่ายก็คงพอประมาณเกิดมาในชาติตระกูลที่ไม่ดี ฐานะไม่ดี ก็ยังไม่พยายามไขว่คว้าไปในทางที่ดี ทำแต่สิ่งผิดศีลธรรม จนสุดท้ายก็ยิ่งพบแต่ทางต่ำเอาตัวไม่รอด อันนี้ต้องละเอียดเพราะมีบางคน ยอมทำทุกอย่างให้ตัวเองดีโดยไม่นับว่าจะผิดศีลธรรมอย่างนี้ไม่ถูก ก็ไม่ต่างจากการที่ไปแบบมืดๆหรอก

2 สว่างมา มืดไป คือ คนที่เกิดมาพร้อมบุญบารมีจากอดีตชาติ แต่กลับใช้ชีวิตในทางเสื่อม เมื่อพ้นจากโลกนี้ไปก็ไปอยู่ในภพภูมิที่ต่ำ อันนี้เหมือนข้อหนึ่งต่างแต่ทางที่มานั้นมีแต่โอกาส กลับไม่ใช้โอกาสที่มีนำพาชีวิตให้ดี กลับไปมัวเมากับกิเลสจนสุดท้ายชีวิตก็วิบัติ

3 มืดมา สว่างไป คือบุคคลที่เกิดมาอย่างลำบาก ขัดสน เนื่องจากผลกรรมในอดีต แต่เมื่อมาใช้ชีวิตกลับพยายามสร้างแต่ความดี นำพาชีวิตไปในทางธรรม เมื่อตายไปผลกรรมดีก็นำพาไปสู่ภพภูมิที่ดี เปรียบได้กับคนบางคนเกิดมาพิการ ร่างกายไม่สมประกอบ แต่บากบั่นสร้างเนื้อสร้างตัว หนักเบาสู้ไม่ท้อจนนำพาชีวิตดี

4 สว่างมา สว่างไป คือบุคคลที่ีเกิดมาพร้อมบุญบารมีแล้วเมื่อใช้ชีวิตก็ยังไม่ประพฤติประมาท หมั่นสร้างคุณงามความดี เมื่อจากก็ไปยังภพภูมิที่ดี อันนี้ไม่ต้องอธิบาย

จะเห็นได้ว่าโดยหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ชีวิตของคนมิได้ถูกกำหนดไว้ตายตัวด้วยโชค ชะตาหรือกรรมเก่าเท่านั้นเหมือนอย่างที่หลายๆคนเอามากล่าวกัน หากแต่เราสามารถเลือกปฎิบัติชีวิตของเราให้ดำเนินไปสู่ความสุขและความสำเร็จได้ ฉะนั้นอย่าปล่อยให้กรรมเก่ามาทำให้โอกาสของชีวิตเราหายไป จงเชื่อมั่นในตัวเอง สร้างกรรมดีเพื่อประครองชีวิตไปในทางที่ดี เพราะหากหลงมัวเมา บั่นปลายผลกรรมก็จะมาทำให้ชีวิตพบแต่ทางลำบาก เชื่ออย่างนั้นนะ

ขออุทิศให้กับ ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง จากประวัติของท่านทำให้เห็นทางของชีวิตที่ดี โดยการสร้างจากตัวท่านเอง แม้จะไม่ได้มีโชควาสนามาช่วย..เพียงแต่สงสัยว่าทำไมคนดีๆจึงอยู่ได้ไม่นาน


วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

กับเพลง...เก่าเพลงหนึ่ง



ถ้าใครสักคนหนึ่งจะเข้าใจก็คงดี

จะบอกรักใครก็อายฟ้าดิน ความหวังพังสิ้นทางรัก มืดมน เกิดมาร่างกายเท่านั้นเป็นคน 

แต่หัวใจปี้ป่น โดนรักขยี้แหลกราน

จะเอ่ยรักใครให้เอือมระอา เมื่อไร้คุณค่าจนมิต้องการ ตราบจนสิ้นคนมั่นรักยืนนาน 

ต้องทุกข์ทรมานร้าวรานฤดี

ชีวิตต้องสิ้นความหมาย วิงวอนไหว้ ฟ้าดินก็ไม่ปราณี เจ็บปวดรวดร้าวชีวี 

ดวงฤดีมีแต่ซอกช้ำเรื่อยมา

ไม่อยากรักใครให้อายฟ้าดิน กลัวเขาจะสิ้นความรักเมตตา 

สู้กลืนเก็บความซอกช้ำอุรา 

ไม่รักใครดีกว่า เดี๋ยวเขาจะอายฟ้าดิน

หากเรารู้จักตัวเราเองแล้ว หรือ เลือกแล้วก็จงพอใจในสิ่งที่เป็นเถิด
 

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

วันนี้ Micro 4/3 (Four Thirds) อีกแล้ว

   วันนี้

 ตั้งแต่กลับมาถ่ายรูปแบบจริงจัง(อีกแล้ว) เรื่องเสียเงินเลยกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ
แถมไอ้สันดานที่เสียมาตั้งแต่กำเนิด..ประเภทข้าเป็นของข้าไม่เหมือนใครมันก็ยิ่งพาจน
จาก PENTAX  K1000ออกมาซ่าส์ ตามมาด้วย NIKON FM2 อะฮู้ อะฮู้(ทำไมเนี่ย)
เสียเลือดเสียเนื้อมาตลอดกับบรรดาเลนท์ต่อยอด....ไม่นับค่าใช้จ่ายหลักคือฟิล์ม

อีกแล้ว

กลับมาอีกครั้งตามเสียงในหัวใจ กับ กล้อง Micro 4/3 (Four Thirds) เบื่อสะพายกล้องตัวใหญ่
สังขารมันไม่ให้ไปปุเลง ปุเลงไปทั่วเหมือนเก่า เลยมาเอาเล็กดีรสโต กับ         
Panasonic G1+14-45 เลนท์คิต
ระบบ Micro 4/3 (Four Thirds) ก็คือ Sensor มีขนาดเป็น 4:3 ถ้าเป็นกล้องกล้อง Film 35mm จะมีสัดส่วนเป็น 1:1 และกล้อง DSLR ทั่วไปที่เราใช้ๆ กันก็จะมีสัดส่วนของ Sensor ที่ 3:2  และทำให้สัดส่วนของภาพที่ได้เหมือนกับกล้อง Compact คือ 3:4 เช่นกัน แต่ค่าตัวคูณเมื่อใส่เลนส์ไปแล้วจะเป็นที่ 2 เท่าในขณะที่กล้อง DSLR ทั่วไปที่ไม่ใช่ Full frame จะอยู่ที่ 1.5 หรือ 1.6 เท่า นั่นหมายความว่าถ้าเอาเลนส์ขนาด 20mm ใส่ไปในกล้อง Micro 4/3 จะได้ช่วงเลนส์เท่ากับ 40mm โอ้สาระมากไปแล้ว 


สิ่งที่ได้มาก็คือขนาดที่เล็กพกพาสะดวก มีน้ำหนักเบา ทั้งตัวกล้องและเลนส์ และช่วงเลนส์ของกล้อง Micro 3/4 ตอนนี้ก็มีเรียกว่าครบทุกช่วงไม่แพ้กล้อง DSLR 
ที่เราใช้กัน แต่ขอบอกว่าราคาแพงโค..ตร
แต่โลกสร้างระบบ Micro 3/4ขึ้นมาพระเจ้า(จริงๆน่ะคนนั่นแหละ)ก็ไม่ลืมที่จะสร้างAdapter สำหรับแปลงเลนท์ให้ต่อกันได้ ซึ่งกล้องระบบ Micro Four Thirds นี่ดีตรงที่สามารถหา Adapter สำหรับใส่เลนส์อื่นได้เกือบทุกแบบทุกค่าย ทำให้มีตัวเลือกในการใช้เลนส์มากขึ้น แต่ต้องแลกกับตาที่จะเหล่ เพราะเวลาถ่ายต้องเอามือหมุนปรับโฟกัสเอง กับ ถ้าวางแผนไม่ดีหลายใจก็ต้องหลาย Adapter เพราะค่ายใครค่ายมัน



ช่วงนี้เลยมาบ้าเลนท์มือหมุนเก่าๆ แล้วอีกจิปาถะ ที่เริ่มทะยอยมาให้เสียเงินอีกทั้ง 
กระเป๋า Filtter อีกไอ้นั่นไอ้นี่บานตะไท 
แลกกับรอยยิ้มของตัวเราเวลามองภาพที่ถ่ายมา.........ว่าคุ้มมั้ย


ข้อมูลเพิ่มเติม