ความสุข เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และพากันแสวงหา ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามแต่ระดับของสติและปัญญา ที่จะอำนวยให้ได้ แต่ถ้าระดับของสติและปัญญา อ่อนลงมากเท่าไร ? การแสวงหาความสุขนั้น ๆ ก็ย่อมจะพาเอาความทุกข์ พ่วงเข้ามาด้วยมากเข้าเท่านั้น จะเห็นได้ว่า
บางคนไปหลงเสพความทุกข์ แต่เข้าใจว่าเป็นความสุข เช่น การกินเหล้า กินเบียร์ สูบบุหรี่ กินหมาก ดมทินเนอร์ สูดไอระเหย สูบกัญชา ตลอดจนเครื่องดื่มบางชนิด เป็นต้น
โดยหลงไปว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสุข หรือยอดของความสุขไป กว่าจะรู้ตัวก็เกิดโรคร้ายแรงเสียแล้ว ชีวิตทั้งชีวิตก็มาดับสลายลง กับสิ่งที่ไร้สาระ อย่างน่าเวทนายิ่งนัก
ความสุขโดยพื้นฐาน ได้แก่ความพอใจ แต่ความพอใจนั้น มันจะซ่อนพิษภัยและโรคร้ายต่าง ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ ? ก็จะต้องขึ้นอยู่กับระดับของสติและปัญญาในแต่ละคนด้วย
การได้เรียนรู้เรื่องของความสุข ตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้า และจากประสบการณ์ จึงจัดว่าเป็น "กำไรของชีวิต" ที่ทุกท่านไม่ควรจะละเลย
จากประสบการณ์พบว่า การที่คนเราจะมีชีวิตอยู่โลกนี้ อย่างมีความสุขตามอัตภาพ ไม่ว่าในเพศของคนคู่หรือคนเดี่ยวก็ตาม ถ้าได้ยึดถือแนวคำสอนของพระพุทธเจ้าเป้นเครื่องนำทางอย่างถูกต้องแล้ว ก็ย่อมจะไม่ก่อปัญหาที่เป็นทุกข์ร้ายแรงใด ๆ ขึ้นได้เลย
อยากขอถามแบบ "จิตสู่จิต" ว่าท่านเป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหม ? ที่รู้ว่าอะไรชั่วแล้วไม่ละ ? และรู้ว่าอะไรดีแล้วไม่ยอมทำ ? (ขอให้ตอบตัวเองในใจว่าจริงหรือไม่จริง ?)
ถ้าท่านเป็นคนดังว่ามานี้ เห็นทีว่า "ทางสู่ความสุข" จะถูกปิดตันสำหรับท่านเสียแล้ว !
แต่จะอย่างไรก็ตาม ยังมีความเชื่อมั่นว่า ท่านต้องเป็นคนหนึ่งละ ที่ปรารถนาความสุข
ขออย่าให้ท่านซึ่งมีความทุกข์อยู่ หรือปรารถนาความสุขอยู่ แล้วมันก็จะขาดวงจรอยู่เพียงแค่นั้นเลย !
ความเพียรพยายาม พวกเธอต้องทำเอาเอง
ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้บอกทางให้เท่านั้น !
แต่เราคนที่ยังเวียนและว่ายอยู่ในทะเลแห่งทุกข์
วันไหนที่เราจะเห็นฝั่งตราบที่เรายังถูกคลื่นแห่งกิเลสโถมใส่อยู่
หันมองที่ใดมันช่างเงียบเหงาทั้งๆที่อยู่กลางผู้คน
มันใช่หรือความสงบที่เราหวังแต่มันเป็นความเปลี่ยวเปล่าที่แสนวังเวง
น้อมเอาคำพระมาตั้งเอาไว้
สักวันฝั่งที่แสนไกลเราคงเจอ
เพียงแต่เราจะละทุกข์กันได้ขนาดไหน
เราจะจับใจเราให้อยู่นิ่งกันได้ยังไง
โลกของเราที่นิ่งและเงียบอยู่ในส่วนไหนของธรรม