ชีวิตมีหลายสิ่งที่น่าสนใจ



love is the flower for which love is the honey : victor hugo

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

คนเลว

หลงในวังวนกิเลส......ไปไม่พ้น

ทำไมใจคนจึงยากนักที่จะหยั่ง

คำพูดทุกๆคำหลงเชื่อไม่ได้

ปากว่าใจอย่างกลิ้งกลอกไปมา

ทำไมหลงไปกับสิ่งที่ต่ำเกลือกกลั้ว

เราฉุดเราดึงกลับยิ่งห่างดำลง

ไม่มองความจริงสิ่งเลวนั้นล่อใจนา

สงสารแต่เจ้า...เฝ้าหลงร่ำร้องผิดคน


เชื่อเสมอว่าทุกสิ่งเปลี่ยนได้ถ้าเขาคิดจะทำ

เชื่อทุกครั้งที่เราทำอะไรแล้วตั้งใจจะสำเร็จ

เชื่อว่าความจริงใจที่มีให้เขาถ้าเขารู้สึกเขาจะรู้ว่าเราหวังดี


แต่กลับได้แต่สิ่งว่างเปล่าทั้งๆที่เราทุ่มเทและให้โอกาสเสมอ

แต่คงไม่เปลี่ยนความเชื่อถึงจะผิดหวังในสิ่งที่ทำ

เพราะมันก็แค่เราทำดีให้เพียงไม่ถูกคน....ก็เท่านั้น

วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

ฝัน


ความจริงกับความฝันต่างกันที่ตรงไหน
เคยตั้งคำถามนี้ในใจ...เพื่อหาคำตอบให้ใจ
ความจริงต้องจับต้องได้จริง สัมผัสได้จริง
ทำให้มีความสุขได้จริงๆ
ความฝันจับต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้จริง
และเพียงแค่รู้สึกก็สุขใจได้จริงๆ

ความรู้สึกดีดีที่เกิดขึ้นในใจวันนี้
บางครั้งก็เหมือนจะเป็นความจริง
บางทีก็เป็นเหมือนแค่ฝัน
ความจริงกับความฝันผสมกันจนเกิดความสับสน

วันที่ความฝันเกิดขึ้น...ดูเหมือนความสุขจนล้นใจ
วันที่ความจริงเดินทางมาใกล้ความฝัน
แถมเป็นความจริงที่เหมือนฝัน
ความสับสนเข้ามาใกล้ความสุขในปริมาณที่ไม่น้อย
ชีวิตคนเราไม่ยาวนานนัก
พรุ่งนี้จะได้ลืมตาตื่นมาหายใจอีกหรือไม่...ไม่มีใครรู้ได้
สิ่งสำคัญที่สุด
คือหาความสุขให้กับช่วงชีวิต
ที่เหลืออยู่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หากเกรงกลัวว่าวันนี้สุข...แล้วพรุ่งนี้ต้องเศร้า
วันนี้เลยเลือกที่จะไม่สุข...
เผื่อว่าพรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องเศร้า
ผลที่เกิดคือวันนี้ก็ไม่สุข...
พรุ่งนี้อาจจะไม่เศร้า หรือเศร้าหนักก็ได้

แต่พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึงไม่มีใครรู้ได้
นอกจากคนบนฟ้าที่ลิขิตทุกอย่างไว้แล้ว
แต่สิ่งที่รู้ได้แน่นอนก็คือวันนี้ไม่สุขแน่นอน

พรุ่งนี้คืออนาคต...อนาคตคือความไม่แน่นอน
วันนี้อาจจะสุข และพรุ่งนี้ก็อาจจะไม่เศร้าก็เป็นได้
พรุ่งนี้อาจไม่มีสำหรับเรา
แต่วันนี้มีอยู่จริง
เพราะฉะนั้นหาความสุขให้กับวันนี้ที่ยังมีลมหายใจอยู่
พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นพร้อมที่จะเผชิญกับมัน
เพียงขอแค่ลมหายใจในวันพรุ่งนี้...
อะไรจะเกิดพร้อมจะรับเสมอ

แม้นหากแท้จริงแล้วความสุขที่เกิดขึ้นมันจะเป็นเพียงแค่ฝัน
ถ้าแค่นั้น...ก็ยังไม่อยากตื่น
ขอหลับยาวๆ อีกสักพัก....อย่าเพิ่งมาปลุกกันนะ
ขอฝันต่อแบบยาวๆ

ถ้าสุดท้ายแล้วโลกแห่งความจริงมันโหดร้าย….ผมขอกลับไปอยู่ในโลกแห่งความฝันของผมดีกว่า

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

สุขทุกข์เปลี่ยนไปตามโลก


เมื่อเกิดมีชีวิตย่อมผิดหวัง
เมื่อมีตั้ง ก็มีล้ม ล่มสลาย
เมื่อมีเกิดทั้งที ก็มีตาย
เมื่อมีหลาย ก็มีลด เป็นบทเรียน

เหมือนน้ำขึ้น น้ำลง ปลงเสียเถิด
เหมือนความเกิด ความดับ กลับแปรเปลี่ยน
เหมือนสว่าง และมืดมน วกวนเวียน
จะเสถียร สถาพร ก็ตอนตาย

การ ที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ความเคยชิน อุปนิสัยใจคอ เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้ ถ้าเราเข้าสู่การทำใจ การเรียนรู้ใจ การพัฒนาใจ การปรับปรุงใจ และการไม่เอาแต่ใจ

การที่ เราเอาแต่ใจตนเอง อยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างใจตนเอง เราจะขัดใจ อึดอัดใจ ไม่สบายใจ อยู่บ่อยๆ เพราะโลกนี้ก็ต้องหมุนไปตามแรงเหวี่ยงของโลก ปรากฏการณ์ทั้งหลายในโลกนี้ก็ต้องเป็นไปตามวิสัยโลก หากเราจะต้องให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นไปอย่างใจของตนเอง เราก็จะกลายเป็นคนที่หงุดหงิดและผิดหวังอยู่ตลอดเวลา

เราจะต้อง พยายามทำใจของเราให้เป็นไปตามแรงหมุนของโลก สร้างเหตุปัจจัยที่ดีที่สุด พยายามทำจิตของเราให้ดีที่สุด พร้อมที่จะรับความไม่เป็นไปดั่งใจให้ได้มากที่สุด พร้อมที่จะทำให้ใจของเรามีภาวะที่สามารถปรับได้เปลี่ยนได้ พัฒนาได้ และฝึกฝนให้เป็นคนที่มีความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจได้ ไม่ว่าจะถูกกระทบด้วยอารมณ์ ผัสสะ เรื่องราวใดๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ตาม

ตราบใดที่เราเป็นคน ตราบใดที่เราเดินเหินในโลกลูกนี้ เราปฏิเสธไม่ได้สิ่งที่เราไม่ชอบ สิ่งที่เราชอบ มันก็จะต้องหมุนเวียนเปลี่ยนเข้ามาในชีวิตจิตใจของเราตลอดเวลา กระทั่งมีถ้อยคำปรากฏในพระไตรปิฎกว่า
"ความสุขย่อมเกิดในลำดับแห่งความทุกข์ และความทุกข์ย่อมเกิดในลำดับแห่งความสุข”

หมายความว่า”ความสุข” กับ “ความทุกข์” จะเกิดดับสลับกันไป ไม่มีความสุขโดยส่วนเดียวและก็ไม่มีความทุกข์โดยส่วนเดียว

ขณะ ใดที่กำลังมีความสุขมากๆ นั้น บัดเดี๋ยวความทุกข์หนักๆก็จะต้องตามมา ในทางกลับกันขณะที่กำลังมีความทุกข์มากๆ จงเชื่อเถิดว่าบัดเดี๋ยวความสุขอันวิเศษก็จะตามมา ขณะที่มีความทุกข์และมีความสุขอยู่นั้น ก็อย่าคิดว่าจะจีรังยั่งยืน ทั้งความทุกข์และความสุขเป็นของไม่เที่ยงไ ม่สามารถที่จะอยู่ยงคงทนกับชีวิตของเราในขณะใดขณะหนึ่งยาวนานเกินไปนัก

ถ้าเราไปฝังใจอยู่กับทุกข์ เรากำลังจะทุกข์ซ้อนทุกข์ ทุกข์ซ้ำทุกข์ ทุกข์ทับถมทุกข์ที่มีอยู่แล้ว

มนุษย์ เราส่วนใหญ่นั้นไม่ได้ทุกข์เพราะทุกข์เพียงชั้นเดียว แต่ไปสร้างทุกข์ทับถมทุกข์ที่มีอยู่แล้วเสียมากกว่า เป็นต้นว่ามีคนมาด่าเราหนึ่งครั้ง เราก็เกิดอาการทุกข์ในใจ เพียงแค่นี้เราก็ควรที่จะให้ทุกข์นั้นผ่านไป เพราะว่าความรู้สึกทุกข์ในใจที่ถูกเขาด่ามันเป็นเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ก็จางหายไป เราไม่ได้โกรธอยู่ตลอดเวลาเสียเมื่อไหร่ หยุดพักก็ไม่เกิดแล้ว แต่เนื่องจากว่าตัวเราเองไปนำเอาคำด่าที่เขาด่าเรานั้นมาด่าตนเองซ้ำอีกนับ จำนวนร้อยครั้งพันครั้ง ไปไหนมาไหนเราก็ยังด่าตัวเองว่า มันด่าฉัน ๆๆๆๆ ! จริงๆ แล้วเขาด่าเราเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ตัวเราเองนั่นแหละด่าตัวเองจนนับจำนวนครั้งไม่ได้

คนเราทุกข์ก็ เพราะว่าสร้างทุกข์ทับถมตัวเองที่มีทุกข์อยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีปรีดาแต่ประการใด เราจะต้องปล่อยให้ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ประเดี๋ยวเดียว ทำให้ดับไปอย่างเร็วที่สุด อย่าเอาใจไปแบกรับกับความทุกข์นั้นๆ และจงพยายามปล่อยให้ทุกข์ที่ผ่านมานั้นผ่านไป อย่าไปเก็บกักดักอารมณ์เหล่านั้นหมักหมมไว้ในจิตวิญญาณของเรายาวนานนัก ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นว่าเรามีชีวิตที่ไม่สามารถพัฒนาตนไปสู่จิตวิญญาณที่ โปร่งใสแจ่มใสได้

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

เราเกิดใหม่ได้เสมอ



ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต แม้ในยามที่ไม่เหลืออะไรเลย สิ่งหนึ่งที่เราต้องมี คือ ศรัทธาในตัวเอง

ศรัทธา ในตัวเองไม่ได้เกิดจากความคิด หรือการสร้างภาพลม ๆ แล้ง ๆ แต่เกิดจากการตรวจสอบการกระทำความคิดของตัวเอง เกิดจากความนับถือในแก่นแท้ในสิ่งที่เราเป็นไปจริง ๆ

เราต้องจริงใจกับตัวเองพอที่จะรักษาขัดเกลาความคิด การกระทำ คำพูดของเราแต่ละขณะ เพื่อให้เรานับถือและมีศรัทธาในตัวเองได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็มีศรัทธา มั่นคงในสิ่งที่ผ่านมา

มองย้อนไปในอดีต ก็เห็นสิ่งที่เราทำ เป็นความดีงาม เป็นประโยชน์ เป็นของจริง ที่หากใครจะสร้างภาพบิดเบือนก็เป็นได้แค่คำพูด แต่ข้อเท็จจริงเป็นประจักษ์พยานรับรองที่จับต้องมองเห็นได้

อดีต ของมนุษย์ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่เราต้องรู้ชัดว่าเราทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยเจตนาดีงาม ทำเต็มกำลังสติปัญญา ขัดเกลาพัฒนา จิตวิญญาณของตัวเองจนเกิดผลลัพธ์ดีงามในชีวิตตนและคนอื่น

มองไปในอดีตก็อบอุ่นใจ

มองไปในอนาคตก็รู้เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

มีเป้าหมายที่จะขัดเกลาพัฒนาตัวเอง ค้นพบศักยภาพของตัวเอง ผ่านความสุขและความทุกข์ ผ่านปัญหาและโอกาส ผ่านความสำเร็จและล้มเหลว แล้วเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของความเป็นมนุษย์ สร้างประโยชน์แก่ตนเองและโลก

มีศรัทธาในตนเอง ศรัทธาในกฎธรรมชาติ

จักรวาล นี้ดำเนินไปใต้กฎธรรมชาติ ซึ่งเป็นความอุดมสมบูรณ์ ความรัก ความเมตตา ยุติธรรม ถูกต้อง ดีงาม เป็นประโยชน์เพื่อผู้อื่นในแต่ละขณะของการดำรงอยู่ของตนเอง ตั้งแต่ในระดับที่เล็กที่สุดของเซลล์แต่ละเซลล์ ต้นไม้ ดอกไม้ แต่ละชีวิตดำรงอยู่เพื่อเกื้อกูลผู้อื่น

ธรรมชาติโดยเนื้อแท้ของจักรวาลเป็นความดีงาม เที่ยงตรงเหมือนเข็มทิศที่ชี้ไปทางทิศเหนือเสมอ...

ที่มา : หนังสือเข็มทิศชีวิต เล่ม 2 ตอนกฎแห่งเข็มทิศ

โดย...ฐิตินาถ ณ พัทลุง...


ในยามที่ท้อแท้ อ่านกี่ครั้ง มันก็หาย.....ขอบคุณข้อความเหล่านี้ที่ทำให้เราเกิดใหม่ได้เสมอ