ชีวิตมีหลายสิ่งที่น่าสนใจ



love is the flower for which love is the honey : victor hugo

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Juno Reactor photos

Juno Reactor photos

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

It 'me...I LIKE IT

ก็จะอธิบาย ถึงผมผู้เป็นเจ้าของ I LIKE IT โดยรวมว่ามีองค์ประกอบเยี่ยงไร มันก็คือ อะไรก็ตาม ที่ผมชอบ ซึ่งบางช่วงเวลา บางตอนอาจจะเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ หลากๆหลายๆ ตามอำเภอใจไปเรื่อย โดยประกอบได้ประมาณนี้
Bon Jovi + ขี้อาย + มองโลกแง่ดี + Nonthaburi + ไม่ชอบคนจุกจิก + เครปไส้แฮม และ หมูหยอง + ท้องอืด + อกหัก + ไม่ชอบการเปรียบเทียบ + ทำกับข้าวแต่กินได้คนเดียว + Sensitive + อ่านการ์ตูน + Winning Eleven + ถนนคนเดิน + เขาใหญ่ + Architect + โรคกระเพาะ + เมาควันบุหรี่ + Chiang Mai + ชอบฟังเพลง + Calvin Klein + ไม่ชอบเสียงดัง + Bekery + เปิดเผย + เกรงใจ + ชอบกินกาแฟแต่กินไม่ได้ + Omnia2 + เลือกที่จะเดินหนีมากกว่าโต้ตอบ + Vachira Hospital + กินเผ็ดไม่ค่อยได้ + UOB + รักสนุก + ไม่ชอบคนเอาเปรียบ+ MVเงียบๆคนเดียว เบิร์ด ธงไชย + คิดไม่เหมือนชาวบ้าน + หลับยาก + สุรีพรย์ ภู่สิทธิศักดิ์ + ตื่นง่าย + PhD + เรือด่วนเจ้าพระยา + ไม่ชอบโกรธใครนาน + ไม่เที่ยวกลางคืน + หลวงพระบาง + iNdy + Musketeers + ไม่ชอบกินผัก + KMITL + มีโลกส่วนตัว + ชอบสีชมพู + วังหลัง + GR + รุ่งทิพย์ + เวลาไม่มีอารมณ์ทำอะไรไม่ได้ + ขี้หนาว + Baracudus + ไม่ชอบฝืนยิ้ม + นมเย็น + คีรีบูน + Vintage&Retro + ไม่อยากเหมือนใคร + จริงจังกับงาน + BluePLANET + ช่างฝัน + หายตัวไปเมื่องานเสร็จ + G2 + ภูเก็ต + เคยแข่งชกมวยโรงเรียนโดนน๊อคยกสอง + ชอบคุยกับคนไม่มีมุม + Eye + อะไรก็ได้ + เบื่อการเมือง + Jeon Ji Hyun + ถูกครูทำโทษให้ไปยืนคาบไม้บรรทัดขาเดียวตอนอนุบาลสอง + อยากหายตัวได้ + เบื่อ hi5 + ไม่ชอบความรุนแรง + ชอบมุขตลก + ต่อมน้ำตาตื้น + เลิกเหล้าถาวร + Benz SLK + มีเพื่อนสนิทที่รู้จักกันตั้งแต่3ขวบจนป่านนี้ยังคุยกันอยู่ + เตาปูน + ปุ๊ก + CN + ไม่ชอบอยู่กับที่ + เนียน + รักแม่มากๆ + รอยยิ้ม + หัวเราะเสียงดัง + Kenzo Tange + ไม่สูบบุหรี่ + วรจักรคืนวันเสาร์ + Man U + ไม่ชอบใส่แว่น + Glico Alfie + ตรอกตึึกดิน + Sepia + ไม่ชอบเอาชนะ + ไม่ชอบความคาดหวังใดใด + ESP + ปวดหัวเวลาได้กลิ่นน้ำหอม + ชอบมองคนยิ้ม + สนามหลวงวันอาทิตย์ + Oakley Felon Matte Black + เรื่องที่เสียใจที่สุดทำอะไรแล้วไม่คิด + ขี้ลืม + ปทุมรัตน์ วรมาลี + เลือกที่จะไม่จำ + ใจอ่อน + นอน + หัวหิน + ไม่ชอบ physics + เคยให้เพื่อนลอกข้อสอบ + อ้อย + HONDA ACCORD + ขี้เกียจอาบน้ำ + สับสนในตัวเองบ่อยๆ + เธอคือใคร ETC + เคยถูกครูส่งไปแข่งIQ180 + เลิกเล่นกีตาร์แล้วแต่ยังสนใจ + อย่าอ้อมค้อม + Voltaren Emulgel ราคา170บาท + เป็นผู้ชาย + ชอบแสงอาทิตย์ + ฉู่ฉี่ปลาทู + Tattoo Color + กินจุกจิก + มีแผลเป็นที่ใต้ตาขวาเพราะหนังกระบี่ไร้เทียมทาน + Skinhead + จุดอ่อนอยู่ที่คำพูด + กลัวการเริ่มต้น + อยากเห็นตอนจบไวๆ + FILA + ใช้Photoshopไม่เป็นแต่พยายาม + ไม่ชอบคำถามที่ไม่มีคำตอบ + Gabriel Batistuta + อิสระ + ไมโคร + อย่ารอให้ถึงพรุ่งนี้ + 500 + AIWA + 'อืม' เป็นคำพูดติดปาก + ไม่ชอบหลักการ + มึนๆ + ไม่ชอบคนเมาแล้วหาเรื่อง + เบา เบา + ตามหาตัวเอง + วงMild + ไอสครีมรสสตอเบอรี่ร้่านทิพย์รสเตาปูน + เป็นต่อ + น้ำมันตรานกอินทรี + God of War+สบู่นกแก้วสีเขียว+ ถ้ามีพรวิเศษหนึ่งข้อจะขอให้เป็นตัวเองอย่างนี้เรื่อยๆไป *

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เพราะชีวิตคนเรามันก็แค่ พอใจ

เพราะชีวิตคนเรามีแค่ 21,900 วันเท่านั้น
คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี

1 ปี เท่ากับ 365 วัน
แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน
คิด ปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที
ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม...ไม่เลว 3,120 สัปดาห์

แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา
แทบเบือนหน้าจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับแถวหลังเพื่อรอวันลาโลก

เปล่าเลย ไม่ได้กลัวตาย ตรงกันข้าม กับคิดว่าตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มันน้อยมาก
หากคำนวณในเชิงตัว เลข ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน เพลงอีกหลายเพลงที่ยังไม่ได้ฟัง
หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เคยดู ความรู้สึกในใจมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตร ที่ยังไม่เคยไป

โอ๊ย...กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามันน้อยเกินไปจริงๆ
และที่น่ากลุ้มไปกว่า นั้น คือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี

แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่า บางคนไม่ได้มีเวลาอยู่บนพื้นโลกถึง 21,900 วันหรอกนะ
อาจ ไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ
อุแม่เจ้า... 2 คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึงสามพันแล้วเหรอเนี่ย

คิดแบบ นี้แล้วต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้างๆ
เพราะนี่คือวัน เสาร์ที่เราเหลือ...บนพื้นโลก


นี่เรากำลังอ่านอะไรบ้าบอ อยู่เนี่ยคิดมากไร้สาระ ฟุ้งซ่าน ....
ไม่เลย นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งนั้น หากเป็นความจริงที่เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ นี่คือ เรื่องจริงเรื่องหนึ่ง
ที่คนส่วนใหญ่มองข้ามมันไป งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 18 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,235 วัน และผ่านคืน
วัน เสาร์มา ร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น...

เอา เวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลาที่(คาดว่าน่าจะ)เหลืออยู่ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะยังไงกับมันดี


แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวันๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่อ อะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า เงินเดือน

บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้ อยู่ 4 ปี ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ ไม่ก็เห็นเพียงว่า
เพื่อนเรียน เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี

บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น แต่กลับปล่อยให้หัวใจตัวเอง
เหลือแต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน

บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวันๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ คุณแน่ กูแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ...ไอ้บ้า!!!

และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม 'ฆ่าเวลา' ... ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องนั่งฆ่าเวลากันเลย
บอกตรงๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี


อีก หน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ


ลองคิดแบบนี้บ้าง...ใช่แล้ว... เราจะเกิดความเสียดายเพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านอย่างที่เราไม่ได้ทำ


ตาย ได้ยังไงหากฝันไม่สำเร็จ...ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
แต่ให้รีบ ทำทุกอย่างก่อน ที่จะตาย...ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้


เคยสงสัย มั้ย... ทำไมเราถูกกำหนดไม่ให้รู้วันตายของตัวเองเพราะมันจะทำให้เราไม่แยแสทุกสิ่ง ทุกอย่าง
และตอบสนองความต้องการของตัวเอง ทั้งในทางดีและทางชั่ว

และ ในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า เอาแบบว่าถ้าตาย
วันพรุ่งนี้ก็จะได้นอนตาหลับ เกิดโชคดีไม่ตายขึ้นมาเราก็จะได้กำไรในการอยู่ต่อเพื่อทำสิ่งดีที่ยังค้างคา


ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า...พรุ่งนี้ชั้นจะตายแล้ว
ทำในสิ่งที่ เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก
ตามฝันของเราไปสุดโต่ง...ต้องรีบ แล้ว...เดี๋ยวตายยนะ...เตือนแล้วไง

รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย...
เพราะ พรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ)ตายแล้ว

ใช้เวลา(ที่อาจจะ)สุดท้ายที่มีต่อกัน ไว้ กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำ ได้ เพราะอย่างน้อยๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอยให้สัมภาษณ์ยมบาล



แรงบันดาลใจที่อยากจะ บอกว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ

อ้าว!!! รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ


เดี๋ยว ตายซะก่อน...เสียดายแย่!!!นะครับท่าน

เพลง: ชีวิตเป็นของเรา
อัลบั้ม: Believe
ศิลปิน: บอดี้สแลม

คน เราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน เวลามีเหลือกันเท่าไหร่
คนเราจะมีลมหายใจ อีกกี่ครั้ง ใครจะรู้
คนเรายังมีสมองที่แตกต่างกัน ยังมีความฝันได้มากมาย
คนเราจะมีชีวิตเริ่มใหม่ได้ใช้ คงน่าเสียดาย

ต้อง ขออภัยจริงๆ ที่ฉันไม่ได้ไปด้วย
กับเส้นทางของใคร ที่เขาคิดว่าดี
วันนี้ ไม่ได้เดินตาม แต่ฉันก็เต็มที่
กับเส้นทางของฉัน วันนี้

ชีวิตจะ เป็นแบบไหน คงต้องเลือกเอา
ก็ตัวของเราก็ใจของใครของมัน
ชีวิตที่เป็น แบบนี้ คงไม่ว่ากัน
ก็ชีวิตมันเป็นของเรา

คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้ อีกกี่วัน เวลามีเหลือกันเท่าไหร่
คนเราจะมีลมหายใจอีกกี่ครั้ง ยังไม่รู้เลย
ให้คิดที่ทำตามใคร ก็รู้ว่าคงดีแน่
แต่เกิดมาทั้งที ต้องทำที่ใจอยาก
ชีวิตที่เป็นตัวเอง ก็รู้ว่ามันแย่
แต่มันต้องขอลอง สักครั้ง

ชีวิตจะเป็นแบบไหน คงต้องเลือกเอา
ก็ตัวของเราก็ใจของ ใครของมัน
ชีวิตที่เป็นแบบนี้ คงไม่ว่ากัน
ก็ชีวิตมันเป็นของเรา

ชีวิต จะเป็นแบบไหน คงต้องเลือกเอา
ก็ตัวของเราก็ใจของใครของมัน
ชีวิตที่ เป็นแบบนี้ คงไม่ว่ากัน
ก็ชีวิตมันเป็นของเรา

มันต้องเลือกเอา ก็ตัวของเราก็ใจของใครของมัน
ชีวิตที่เป็นแบบนี้ คงไม่ว่ากัน
กับ ชีวิตที่ยังมี ชีวิตที่อยากเป็น ชีวิตมันเป็นของเรา

สำหรับ ชีวิต เราไม่รู้ว่ามีเวลาเท่าไหร่ แต่เมื่อเวลาหมด ก็คือ จบ เมื่อจบ ก็คือ ตาย

ดังนั้น ไม่มีอะไรที่ไม่มีวันจบ

เชื่อว่า เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตมนุษย์

เพลง ว่าไว้ "...ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ..."
หากพูดแง่ของการให้กำลังใจ อาจจะถูกต้อง ว่า เรายังมีวันพรุ่งนี้ให้แก้ไขเรื่องที่พลาดในวันนี้ได้เสมอ
แต่ หากพูดในแง่ของเวลา "วันพรุ่งนี้ของเราอาจจะไม่มีก็ได้"

ในเมื่อ ชีวิตอาจไม่ได้มีพรุ่งนี้เสมอ เราก้ต้องคิดแล้วหล่ะว่า...
เราจะใช้ ทรัพยากร อันมีค่าของเรา ให้คุ้มค่า สำหรับเราอย่างไร ?

ทีนี้ ลองถามตัวเอง ว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราคิดว่าคุ้มค่ากับการมีชีวิต ?

สำหรับผมเชื่อว่าคำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือคำว่า "พอใจ"
เมื่อ "พอใจ" เราก็จะไม่เกิดทุกข์ นั่นคือมีความสุข แต่เมื่อ "ไม่พอใจ" อาจจะเกิดสิ่งชั่วร้ายตามมาหลายอย่าง นั่นคือทุกข์

ไม่อยากจะอ้างอิง ทฤษฎี "เศรษฐกิจพอเพียง" แต่เชื่อความว่า "พอเพียง" ทำให้เกิด "พอใจ" เมื่อ "พอใจ" ก็คือ "สุข" เมื่อเราใช้เวลาอย่างมีความสุข นั่นก็คือเราใช้ทรัพยากรของเราอย่าง "คุ้มค่า" ที่สุดแล้ว ไม่มีพรุ่งนี้ก็ไม่เสียดาย


จงใช้ชีวิตอย่าง "พอใจ"

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ละอายต่อบาป เกรงกลัวในบาป

หิริ ความละอายแก่ใจในการทำบาป
โอตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อผลแห่งบาป

ธรรมทั้งสองประการนี้ทรงแสดงว่า เป็น โลกปาลธรรม คือธรรมที่รักษาคุ้มครองโลก คือหมู่สัตว์ให้อยู่ร่วมต่อกันอย่างปกติสุขตามสมควร

นอกจากจะเรียกว่าเป็นโลกปาลธรรมแล้ว ยังถือว่าเป็น เทวธรรม คือธรรมที่จะสร้างคนให้เป็นเทพบุตรเทพธิดาด้วยร่างกายที่เป็นมนุษย์นี่เอง

หาก เราสังเกตให้ดีจะพบว่า หิริโอตัปปะ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจของคนทุกคน ในลักษณะที่ค่อยเกิดขึ้นมาตามลำดับ ท่านจึงเรียกธรรมสองประการนี้ว่า มโนธรรม คือธรรมที่เกิดมีอยู่ภายในจิต

หิริ โอตัปปะ เป็นมโนธรรมนี้เองที่แยกให้แตกต่างจากสัตว์ ในด้านพฤติกรรมที่ปรากฏออกมาด้านกาย วาจา เพราะใจประกอบด้วยความสำนึกอันมีหิริโอตัปปะเป็นหลักยึดเหนี่ยว

ผมเชื่อว่า การที่คนเราละอายต่อการทำบาป ละอายต่อการทำความผิด นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด ประเทศบ้านเมืองไมจำเป็นต้องมีกฏเกณฑ์ อะไรมากมายหากคนเราละอาย และเกรงกลัวต่อการทำบาบ เพราะนั่นทำให้คนเราเกรางกลัวที่จะทำมาจากในใจของตนเอง เราไม่สามารถจะไปควรคุมคนอื่นได้ แต่เราสามารถควบคุมการการทำของตัวเราเองได้ ผมเชื่อว่าคนเราเกิดมาไม่นาน และการมีชีวิตอยู่ในโลก คือโอกาสของการได้กระทำความดี ทำดี คิดดี คิดให้มีความสุข จิตใจผ่องใส่ นั่นคือสิ่งที่คนเราควรทำ ผมว่าชีวิตเราอยู่ง่ายๆครับ 1.ไม่ฆ่าสัตว์ 2.ไม่ลักทรัพย์ 3.ไม่ประพฤติผิดในกาม(แย่งลูกเมียคนอื่น) 4.ไม่พูดปด 5.ไม่ดื่มสุรา แค่นี้ชีวิตก็อย่สบายและมีสุขแล้ว ผมจะขอเพิ่มอะไรเข้าไปนิดนึงครับ นั่นคือ ลองคิดก่อนเราจะทำอะไรทุกๆอย่าง ว่า กับ สิ่งที่เรากำลังจะทำ ถ้าคนไทยทุกคนทำเหมือนเรา เมืองไทยเราจะเป็นอย่างไร ถ้าลองคิดดูแล้วว่า มันเป็นเรื่องดี จะนำพามาซึ่งความสุขแล้วล่ะก็ ทำไปเถอะ แต่ถ้ามันเป็นทางตรงกันข้าม อย่าทำเลย บันฑิต บางคนบอกว่า มันคือ คำที่ใช้เรียกคนที่ร่ำเรียนจบ ปริญญาตรี แต่ในความเป็นจริง ที่เรียก บัณฑิต ได้นั้น คนๆนั้น จะต้องมีความรู้ เพราะ บัณฑิตนั้น แปลว่า ผู้รู้ แล้วรู้อะไร.. รู้ว่าสิ่งใหนควร สิ่งใหนไม่ควร สิ่งใหนถูก สิ่งใหนผิด สิ่งใหนควรทำ สิ่งใหนไม่ควรทำ และ ควรทำเวลาใด และที่สำคัญที่สุด บัณฑิตต้องรู้จักกาล รู้จักบุคคล รู้จักสถานที่ รู้จักกาล คือ รู้ว่าเวลาใหน ตอนใหน ควรทำอย่างไร วางตัวเช่นไร จึงจะเหมาะสม รู้จักบุลคล คือ รู้ว่ากับบุลคลเช่นนี้ เราควรปฏิบัติตนกับเค้าอย่างไร ควรทำอย่างไร วางตัวเช่นไร จึงจะเหมาะสม รู้จักสถานที่ คือ อยู่ ณ ที่แห่งนี้ เราควรทำอะไร ควรทำอย่างไร วางตัวเช่นไร จึงจะเหมาะสม อะไรดี อะไรเลวง่ายๆ แค่ลองคิดดูว่า หากทุกคนทำแบบที่เรากำลังจะทำ มันจะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดว่าหลังตาแล้วเห็นแต่ความวิบัติ นั่นล่ะ เค้าเรียกว่า สิ่งเลว แต่หากเห็นแต่ สิ่งดีสิ่งงาม นั่นล่ะ คือ สิ่งดีที่เรา ควรจะทำ แต่ก็มีบางคนอ้างเอาเรื่องทำชั่วมาเป็นเรื่องดี อ้างถึงความจำเป็น ในทางศาสนาไม่เคยมีข้ออนุโลมใดๆในเรื่องเหล่านี้ มีเพียงการให้แยกแยะให้สะกดใจ ยับยั้งไม่หลงไปกับสิ่งที่ชั่วร้าย หากใจอ่อนลงไม่ว่าด้วยเหตุใดก็นับว่าชั่วหมด ให้ดูปลายทาง อาจจะดูเหมือนสุข แต่ให้ดูปลายทาง


ทำเลว แม้ไม่มีคนเห็น มันก็เป็นสิ่งเลววันยังค่ำนั่นล่ะ และ ผมเชื่อในเรื่องกรรมที่หากใครทำแล้วจะหนีมันไม่เคยพ้น ยิ่งเดี๋ยวนี้กรรมนั้นมันเร็วเสียเหลือเกิน...อนิจา

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หลักการทรงงาน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว







พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า การที่พระมหาชนกจะเสด็จออกทรงแสวงโมกขธรรม ยังไม่ถึงวาระเวลาอันสมควร เพราะว่าได้ทรงสร้างความเจริญแก่มิถิลายังไม่ครบถ้วน กล่าวคือ

ข้าราชบริพาร “ นับแต่อุปราชจนถึงคนรักษาช้างคนรักษาม้า และนับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอมาตย์ ล้วนจาริกในโมหภูมิทั้งนั้น. ไม่มีความรู้ทั้งทางวิทยาการทั้งทางปัญญา ยังไม่เห็นความสำคัญของผลประโยชน์แท้ แม้ของตนเอง จึงต้องตั้งสถานอบรมสั่งสอนให้เบ็ดเสร็จ.”
คัดจากบางส่วนของพระราชปรารภ จากพระราชนิพนธ์ เรื่อง พระมหาชนก
๙ มิถุนายน ๒๕๓๙

"พระมหาชนก ทรงมีพระราชดำริว่า การศึกษาที่ถูกต้องเท่านั้น จึงจะเป็นหนทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืน"

ข้าพเจ้าจึงขอนำหลักทรงงานของพระองค์มาเผยแผ่ เพื่อเป็นประโยชน์ แก่ท่านทั้งหลาย

ทำงานอย่างผู้รู้จริง

ให้ ศึกษางานที่จะทำให้ดี อย่าผลีผลาม ความรู้จะหยุดนิ่งไม่ได้ ต้องขวนขวาย ต้องเก็บบันทึกไว้ แล้วนำกลับมาใช้ประโยชน์ "ความรู้" ต้องพัฒนาอยู่เรื่อยๆ ต้องรู้หมดและรู้อย่างแท้จริง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น การที่จะพระราชทานโครงการใดโครงการหนึ่งจะทรงศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่าง รอบคอบและครบถ้วน ทั้งจากข้อมูลเบื้องต้น จากเอกสาร แผนที่ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้องและตรงกับความเป็นจริง เพื่อที่พระองค์จะได้พระราชทานความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วตรง ตามที่ประชาชนต้องการ ซึ่งนั่นก็คือ ไม่ว่าเราจะทำอะไรต้องรู้จริง ศึกษาให้เข้าใจ แล้วจึงลงมือปฏิบัติ

ระเบิดจากข้างใน


คือ การทำสิ่งใดต้องสร้างฐาน ต้องเริ่มจากความพร้อม ความเห็นพ้องต้องกันในกลุ่มเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยๆ ก่อ จะมั่นคงถาวร พระองค์ทรงมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาคน ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า "ต้องระเบิดจากข้างใน" นั้นหมายความว่า ต้องสร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชนที่เราเข้าไปพัฒนา ให้มีสภาพพร้อมที่จะรับการพัฒนาเสียก่อน แล้วจึงค่อยออกมาสู่สังคมภายนอก มิใช่การนำเอาความเจริญหรือบุคคลจากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชน หมู่บ้าน ที่ยังไม่มีโอกาสเตรียมตัวหรือตั้งตัว

อดทน มุ่งมั่น


ให้ รู้จักอดทน ทำจนเป็นนิสัย ไม่ว่าสิ่งดีๆ ที่เข้ามา ทุกข์ที่เข้ามา สุขที่เข้ามา เราก็รับด้วยใจสงบ ไม่ตื่นเต้นหรือกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา เหมือนดังคำว่า "ธรรมะ" ซึ่งนั่นก็คือ ธรรมชาติ ธรรมดา นอกจากนี้ หากเกิดปัญหา เราก็ทำจิตใจให้รู้สึกท้าทายกับปัญหานั้น เห็นปัญหาแล้วกระโดดเข้าใส่เป็นการท้าทายสติปัญญา อย่ากลัวปัญหาและละลายปัญหาจากเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย

อ่อนน้อม ถ่อมตน เรียบง่ายและประหยัด


ซึ่ง เป็นสิ่งสำคัญ เช่น นาฬิกาข้อพระกรที่พระองค์ทรงใช้ ไม่จำเป็นต้องราคาแพง แต่ทรงเน้นที่ประโยชน์ของการบอกเวลา ทรงอ่อนน้อมถ่อมพระองค์มาก เวลาที่เสด็จฯ เยี่ยมราษฎร ทรงโน้มพระวรกาย คุกเข่า และประทับพับเพียบเข้าหาประชาชน ในการพัฒนาและช่วยเหลือราษฎรทรงใช้หลักในการแก้ไขปัญหาด้วยธรรมชาติ เรียบง่ายและประหยัด ราษฎรสามารถทำได้เอง หาได้ในท้องถิ่น และประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้นมาแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องลงทุนสูง หรือใช้เทคโนโลยีที่ยุ่งยากนัก

ซื่อสัตย์ สุจริต กตัญญู


พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกตัญญูต่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบรมวงศ์มาก ทรงให้ความสำคัญในเรื่องความซื่อสัตย์มาก ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า

"...ถ้าทุจริตแม้แต่นิดเดียว ก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป พูดอย่างนี้หยาบคาย แต่ว่าต้องให้มีอันเป็นไป แต่ถ้าไม่ทุจริต สจริตและมีความตั้งใจมุ่งมั่น สร้างความเจริญ ก็ขอต่ออายุให้ถึง ๑๐๐ ปี ...ความสุจริตจะทำให้ประเทศไทยรอดพ้นอันตราย ภายใน ๑๐ ปี เมืองไทยน่าจะเจริญ ข้อสำคัญต้องยึดความสุจริตให้สำเร็จ และไม่ทุจริตเสียเอง....

รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและเคารพความคิดที่แตกต่าง

ใน ทุกครั้งที่เสด็จฯ ไปในพื้นที่ต่างๆ ทรงทำประชาพิจารณ์ (Public Hearing) ทุกครั้ง โดยวิธีการของพระองค์นั้นเป็นวิธีที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา โดยจะทรงอธิบายถึงวัตถุประสงค์และผลที่ได้รับจากโครงการพัฒนากับพสกนิกรที่ มาเฝ้าฯ ล้อมรอบอยู่ หลังจากนั้นจะทรงถามถึงความต้องการของประชาชน ความสมัครใจและให้ตกลงกันเองในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์และกลุ่มที่จะต้อง เสียสละในขณะนั้นเลย พร้อมทั้งทรงการแผนที่เพื่อตรวจสอบถึงข้อมูลและข้อเท็จจริงของสภาพ ภูมิประเทศ และหลังจากนั้นก็จะทรงเรียกผู้นำท้องถิ่นและฝ่ายปกครองให้มารับทราบและ ดำเนินการในขั้นต้น ก่อนที่จะพระราชทานให้หน่วยงานปฏิบัติที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเชิงบริหาร และวิชาการต่อไปจนเสร็จสิ้นโครงการ

"...มีคนบอกว่าโครงการพระราชดำริ แตะต้องไม่ได้ ข้อนี้เป็นความคิดที่ผิดหรือเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะหากโครงการพระราชดำริแตะต้องไม่ได้ เมืองไทยไม่เจริญ..."


ความตั้งใจจริงและมีความเพียร

ทำ งานต้องมีความตั้งใจ อย่าทำงานไปวันๆ ตั้งใจทำงานจะทำให้มีแรง มีกำลังใจ และต้องขยันหมั่นเพียร งานบางอย่างยาก แต่ก็ต้องฟันฝ่าไปให้ได้ ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานข้อคิดเกี่ยวกับความเพียรใน พระราชนิพนธ์เรื่อง "พระมหาชนก" ความตอนหนึ่งว่า

"...คนเราทำอะไร ต้องมีความเพียร แม้ไม่เห็นฝั่งก็ต้องว่ายน้ำและมีคำตอบอยู่ว่ามีประโยชน์อย่างไร เพราะถ้าหากไม่เพียรที่จะว่ายน้ำเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน ก็จะไม่พบเทวดา คนอื่นไม่มีความเพียรที่จะว่ายน้ำ ก็จมเป็นอาหารของปลา ของเต่า เพราะฉะนั้น ความเพียรแม้จะไม่ทราบว่าจะมีถึงฝั่งเมื่อไร ก็ต้องเพียรว่ายน้ำต่อไป..."
คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม


โดย ต้องคิดให้ดี ให้ลึกซึ้ง อย่างเช่นโครงการเขื่อนป่าสักฯ เป็นการดำเนินโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่เป็นตัวอย่างที่ดี ที่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและไม่ได้ละเลยคนส่วนน้อยที่ต้องเสียสละเพื่อ ส่วนรวม เมื่อส่วนรวมได้ประโยชน์อย่างมากมาย คนส่วนรวมต้องช่วยคนกลุ่มเล็กที่เสียสละอย่างเต็มที่

"...การปฏิบัติ งานทุกอย่างของข้าราชการ มีผลเกี่ยวเนื่องถึงประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมืองและประชาชนทุกคน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่ข้าราชการทุกคนจะต้องทำหน้าที่ทุกๆประการให้ บริสุทธิ์ บริบูรณ์โดยเต็มกำลังสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ เพื่อผลการปฏิบัติราชการทุกอย่างจักได้บรรลุความสำเร็จอย่างสูงและบังเกิด ประโยชน์อย่างดีที่สุดแก่ตนเอง แก่หน้าที่และแก่แผ่นดิน..."

เข้าใจความต้องการของประชาชน


ถ้า ประชาชนไม่ต้องการอย่าไปยัดเยียดอะไรให้ ดังเช่นการดำเนินงานโครงการต่างๆ ให้แก่ประชาชนนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานพระราชดำริแก่หน่วยงานที่เกี่ยว ข้องอยู่เสมอๆ ว่า

"...การเข้าใจถึงสถานการณ์ของผู้ที่เราจะช่วย เหลือนั้นเป็นสิ่ง สำคัญที่สุด การช่วยเหลือให้เขาได้รับสิ่งที่เขาควรจะได้รับตามความจำเป็นอย่างเหมาะสม จะเป็นการช่วยเหลือที่ได้ผลที่สุด... อีกประการหนึ่งในการช่วยเหลือนั้น ควรยึดหลักสำคัญว่า เราจะช่วยเขาเพื่อให้เขาสามารถช่วยตนเองได้ต่อไป..."

พึ่งตนเอง


พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอนให้ชาวไทยสามารถดำรงชีวิตด้วยตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งตนเองทั้งทางด้านจิตใจ ที่ต้องเข้มแข็ง มีจิตสำนึกที่ดี สร้างสรรค์ให้ตนเองและชาติโดยรวม ด้านสังคม ก็ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายชุมชนที่แข็งแรงเป็นอิสระ หรือแม้กระทั่งด้านเศรษฐกิจที่ต้องมุ่งลดรายจ่ายก่อนเป็นสำคัญ และยึดหลักพออยู่ พอกิน พอใช้และสามารถอยู่ได้ด้วยตนเองในระดับพื้นฐาน ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า

"...ยืนบนขาของตัวเอง (ซึ่งแปลว่าพึ่งตนเอง) หมายความว่าสองขาของเรานี่ ยืนบนพื้นให้อยู่ได้ไม่หกล้ม ไม่ต้องไปขอยืมขาของคนอื่นมาใช้สำหรับยืน..."

ส่งเสริมคนดีและคนเก่ง


ควร ให้การสนับสนุนส่งเสริมผู้ปฏิบัติงาน เพราะคนดี คนเก่ง จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาความเจริญในด้านต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ดังพระราชดำรัสที่ว่า "...ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด หากอยู่แต่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้..."

การเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน


ต้อง คิดถึงคนอื่นบ้าง อย่าคิดถึงแต่ตัวเอง เห็นแก่ตัวอย่างเดียวอยู่ไม่รอด ต้องรู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริแก่คนไทยไว้ว่า "...สังคมใดก็ตาม ถ้ามีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน สังคมนั้นย่อมเต็มไปด้วยไมตรีจิต มิตรภาพ มีความร่มเย็นเป็นสุข น่าอยู่..."

อีกทั้งทรงรับสั่งอยู่เสมอเกี่ยว กับการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ว่า ที่พระองค์ทรงทำอยู่นั้นทรงใช้หลักสังฆทาน ความหมายนี้ลึกซึ้งมาก คือ "ให้เพื่อให้" พระองค์ไม่เคยนึกว่าเมื่อให้แล้วจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ หลักสังฆทานให้โดยไม่เลือก ในฐานะเพื่อนมนุษย์ผู้ประสบความทุกข์ยากก็มีโครงการเข้าไปช่วยเหลือ ให้เพื่อให้จริงๆ ไม่ได้ให้เพื่อคิดหวังอะไรตอบแทน

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง


คือ ยึดความพอดี พอเพียง พอควร เป็นที่ตั้ง อย่าทำอะไรให้ล้นเกินพอดี เศรษฐกิจพอเพียงอธิบายอย่างง่ายที่สุด คือ ถ้ากินมากก็จุก ไม่กินหรือกินน้อยก็หิวโหย ทำอะไรให้พอดี แต่ต้องทำอย่างเต็มศักยภาพที่แต่ละคนมีอยู่ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนใน ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์

"...พอ เพียงนี้ความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอดังนั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิด อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียงหมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข..."

ภูมิสังคม


การ พัฒนาใดๆ ต้องสอดคล้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนั้นๆ เนื่องจากแต่ละแห่งคนไม่เหมือนกัน ต้องคำนึงถึงสภาพภูมิประเทศของบริเวณนั้นว่าเป็นอย่างไร และสังคมวิทยาเกี่ยวกับลักษณะนิสัยใจคอของคน ตลอดจนวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีก็ไม่เหมือนกัน ทรงใช้คำว่า "ภูมิสังคม" คือ ทรงดูลักษณะภูมิศาสตร์และลักษณะของสังคม ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า

"...การ พัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศทางภูมิศาสตร์ และภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ ในสังคมวิทยา ภูมิประเทศตามสังคมวิทยาคือ นิสัยใจคอของคนเรา จะไปบังคับให้คนคิดอย่างอื่นไม่ได้ เราต้องแนะนำ เราเข้าไปช่วย โดยที่จะคิดให้เขาเข้ากับเราไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าไปแล้ว เราเข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไรจริงๆ แล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจหลักการของการพัฒนานี้ ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง..."

รู้ รัก สามัคคี


รู้ คือ รู้ต้นเหตุ รู้ปปลายเหตุ แล้วถึงเริ่มทำงาน จะได้มีประสิทธิภาพ ต้องรู้ถึงปัจจัยทั้งหมด ทั้งรู้ถึงปัญหา และรู้ถึงวิธีการแก้ไขปัญหา

รัก คือ ความรัก ความเมตตา ซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการกระทำ และไปลงมือปฏิบัติแก้ไขปัญหานั้นๆ อีกทั้งความรักที่มีความเมตตากรุณาเป็นพื้นฐาน ก็สามารถนำไปสู่ความปรารถนาที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลสนับสนุนให้บุคคลอื่น บรรลุประโยชน์ หรือเข้าถึงจุดหมายของชีวิตของเขาในระดับต่างๆ ได้

สามัคคี คือ การที่จะลงมือปฏิบัตินั้น ควรคำนึงเสมอว่า เราจะทำงานคนเดียวไม่ได้ ต้องทำงานร่วมมือร่วมใจเป็นองค์กร เป็นหมู่คณะ จึงจะมีพลังเข้าไปแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี

เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา


เป็น สิ่งที่ต้องเข้าใจก่อน การพัฒนาในด้านต่างๆ ต้องเข้าใจภูมิประเทศ เข้าใจคน เข้าใจหลักปฏิบัติและที่สำคัญ เราเข้าใจเขาและจะต้องทำอย่างไรให้เขาเข้าใจเราด้วย เราเข้าถึงเขาแล้ว ต้องทำอย่างไรให้เขาอยากเข้าถึงเราด้วย เมื่อเข้าใจกันแล้วก็สามารถที่จะนำไปสู่การพัฒนาในขั้นต่อไปได


ปลูกป่าในใจคน


เป็น การปลูกป่าลงบนแผ่นดิน ด้วยความต้องการอยู่รอดของมนุษย์ ทำให้ต้องการบริโภคและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง เพื่อประโยชน์ของตนเองและสร้างความเสียหายให้แก่สิ่งแวดล้อม ไม่รู้จักพอ ปัญหาความไม่สมดุลจึงบังเกิดขึ้น ดังนั้นในการที่จะฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้กลับคืนมาจะต้องปลูกจิตสำนึกใน การรักผืนป่าให้แก่คนเสียก่อน ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า "...เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดิน และรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง..."


ไม่ติดตำรา

การพัฒนาตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว มีลักษณะของการพัฒนาที่อนุโลมและรอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสภาพของสังคมจิตวิทยาแห่งชุมชน คือ ไม่ติดตำรา ไม่ผูกมัดติดกับวิชาการและเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ ที่แท้จริงของคนไทย


ทำงานอย่างมีความสุข


พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเกษมสำราญ และทรงมีความสุขทุกคราที่ได้ช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเคยรับสั่งครั้งหนึ่งว่า "...ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกัน ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น..."


ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีแห่งการครองราชย์ เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วกันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ ที่พรั่งพร้อมด้วยทศพิธราชธรรม มีสายพระเนตรกว้างและยาวไกล และมีพระอัจฉริยภาพในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ทรงมุ่งมั่นตรากตรำ เสียสละและทุ่มเทพระวรกายเพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนให้แก่ พสกนิกรทุกหมู่เหล่า ก่อให้เกิดประโยชน์อันใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและประชาชนเป็นอเนกอนันต์







วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทางออกของความรัก



แม้คนสองคนจะรักกันมาก แต่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกให้มากมาย และไม่จำเป็นต้องทำเพื่อกันและกันมากเกินไป ความรักที่แท้จริง คือการสร้างและแบ่งปันความสุขให้แก่กัน ทีละเล็กทีละน้อย แต่สม่ำเสมอและเนิ่นนาน ไม่ใช่การมอบความสุขอนเปี่ยมล้นให้แก่กันเพียงไม่กี่ครั้ง แล้วความสุขนั้นก็ต้องจบลงในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ
ความสุขที่แท้จริงของความรัก เกิดจากหัวใจสองดวงที่มั่นคง ไม่ใช่การพยายามจะพิสูจน์ เมื่อคนสองคนทำเพื่อกันและกันอย่างพอดี ทั้งผู้ให้และผู้รับก็จะมีความสุขร่วมกัน

ไม่มีใครต้องคิดหนัก
ไม่มีใครต้องเหนื่อย
ไม่มีใครต้องรู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบหรือสูญเสีย
ไม่มีใครต้องหวังสิ่งตอบแทน หรือเรียกร้องให้อีกฝ่ายต้องให้อะไรกลับคืน




ความสุขที่แท้จริงของความรัก คือการเรียนรู้จักและหยิบยื่นสิ่งดี ๆ ให้กันและกัน อย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้สิ่งเล็กน้อยก็จะไม่เคยดูเหมือนน้อยไป ถ้าหากว่าหัวใจของทั้งสองคนรู้จักคำว่า...เพียงพอ ก่อนจะเรียกร้องอะไรมากมายจากความรัก ลองถามตัวเองดูก่อนว่า...สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ คือความรักที่มั่นคงเนิ่นนาน หรือความรักที่แสนสุขหวานหวือหวาแต่ในไม่ช้าก็จะลาจากเราไป



ทุกอย่างที่เราได้รับมา จะดูเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ ขึ้นอยู่ที่หัวใจเราจะมองเห็นคุณค่า หากใครบางคนมีความหมายกับเราอย่างแท้จริง แม้สิ่งที่เขาทำให้จะเล็กน้อยแค่ไหน มันก็ทำให้เราสุขหัวใจเหลือเกิน

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นำพาชีวิตดีดี


สูตรนำพาชีวิตดีดี....มีอย่างนี้

๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัว เองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขา มีความทุกข์

ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับ เรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลก ในแง่ร้าย, ก็ ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิด ทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไร เกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอา จริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขา ไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่า เสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับ เรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่า มันจะทำให้คุณ ผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอน หลับ
๗. ความ รู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณ จำเป็นต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่อง ขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามี หรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีต ของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศ สงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียน รู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งมาแล้วก็หาย ไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอด ชีวิต
๑๓. จง ยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถก เถียงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่าง พอกัน ได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร


แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้าง เราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่ เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหา สุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็น อันขาด
และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำ ดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์,จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผล ทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยว มันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุก จากเตียง, แต่ง ตัวและปรากฎตัวต่อหน้า คนที่เราร่วมงาน ด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุข เสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไป ทำไมเล่า
จาก FW. mail ดีดี

La Belle: promising

La Belle: promising: " สวัสดี.. เพื่อนๆทุกคนค่ะ ไม่ได้อัพเดทมาเป็นวีค ไม่รู้จะมีใครคิดถึง โอบอุ้ม กับ บัว มั้ย น้อ??? เรามาเริ่มกันที่ ดินเนอร์ ของเราทั้..."

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หลักความเชื่อ ของ พระพุทธเจ้า หลักกาลามสูตร ( เกสปุตติยสูตร )

เป็นหลักการแห่งความเชื่อ หรือ ทฤษฎี ความเชื่อ ของ พระพุทธเจ้า ที่ท่านให้ใช้การพินิจพิจารณาด้วยปัญญา แล้วจึงค่อยตัดสินใจเชื่อ กาลามสูตร


(กาลามสูตร เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสูตร หรือ เกสปุตตสูตร) สูตรหนึ่งในคัมภีร์ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอน ชาวกาลามะ แห่งเกสปุตตนิคม ในแคว้นโกมล ประเทศอินเดีย ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผล ซึ่งมี หลักการ 10 ข้อ ดังนี้


1. มา อนุสสะเวนะ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังบอกตามๆ กันมา เช่น การเล่าข่าว ไม่ว่าทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต SMS หรือ อื่นๆ

2. มา ปรัมปรายะ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบ กันมาอย่างปรัมปรา เช่น ความเชื่อทั้งหลาย ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณี ซึ่ง ต้องใช้การพิจารณาด้วยปัญญาให้ถ่องแท้ ถ้าหากจะนำไป ประมวลเป็นองค์ความรู้

3. มา อิติกิรายะ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ เช่น ข่าวลือ ทั้งหลาย

4. มา ปิฎกสัมปะทาเนนะ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ คำว่า ปิฎก ในที่นี้ก็คือ สิ่งที่เรา เรียกว่าตำรา สำหรับพระพุทธศาสนา ก็คือ บันทึกคำสอนที่เขียนไว้ในใบลาน เอามารวมกันไว้เป็นชุดๆ เรียก ไตรปิฎก แม้แต่ในบันทึกทางศาสนา ก็ยังต้องใช้ การพิจารณาไตร่ตรองด้วยปัญญา ก่อนจะปลงใจเชื่อ

5. มา ตักกะเหตุ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยตรรกะ ด้วยการใคร่ครวญตามวิธีที่เรียกว่า ตรรกะ เพราะว่าตรรกะก็ยังผิดได้ ในเมื่อเหตุผลหรือวิธีใช้เหตุผลมันผิดอยู่

6. มา นะยะเหตุ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอนุมาน ด้วยเหตุผลว่าสมเหตุสมผลทางนัยยะ

7. มา อาการะปะริวิตักเกนะ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล ด้วยการตรึกเอาตามอาการ คือ ตามความคุ้นเคย ที่เรียกกันว่า common sense หรือ สามัญสำนึก

8. มา ทิฏฐินิชฌานักขันติยา อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน อย่าได้รับเอาเพราะว่าสิ่งนั้น ทน ได้ต่อการเพ่งด้วยทิฏฐิของตน ตัวเองมีความเห็นอย่างไร ถ้าเขามาสอนด้วย คำสอนชนิดที่เข้ากันได้กับความเห็นของตัวเอง ก็อย่าเพิ่งถือเอาว่าสิ่งนั้นถูก เพราะว่าทิฏฐิของตัวเอง ก็ผิดได้

9. มา ภัพพะรูปะตายะ อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ เพราะเหตุว่าผู้พูดมีลักษณะ น่าเชื่อถือ มีคำพูด มีลักษณะท่าทางที่น่าเชื่อ

10. มา สัมโณ โน คะรูติ อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านนี้เป็นครูของเรา แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นครูของเรา ก็ไม่ให้เชื่อ พระพุทธเจ้า ท่านไม่ให้เชื่อ แม้ว่า เป็นคำสอนของท่าน


ท่านให้ใช้ปัญญา ไตร่ตรอง ลองทำ ลองปฏิบัติ เมื่อได้ผลจริง จึง เชื่อ ถือ เอาตามนั้น

เรียบเรียง : ยรรยง สินธุ์งาม

อ้างอิง :


พระธรรมปิฎก,พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม , สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย , พ.ศ. 2546. หน้า 232
พระธรรมปิฎก , พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ , สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พ.ศ. 2546. หน้า 13

วรภัทร์ ภู่เจริญ, ดร., คิดอย่างเป็นระบบ และ เทคนิคการแก้ปัญหา, สำนักพิมพ์ อริยชน , หน้า 190-191


http://www.easyinsurance4u.com/buddha4u/kalamasutta.htm

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

The more I see you

The more I see you
Original Artist : Chris Montez

The more I see you,
the more I want you.
Somehow this feeling
just grows and grows.

With every sigh I become
more mad about you,
more lost without you,
and so it goes.

Can you imagine
how much I'll love you ?
The more I see you
as years go by.

I know the only one for me
can only be you.
My arms won't free you,
and my heart won't try.

ถ้ามีใครสักคนให้นั่งมองหน้าแล้วฟังเพลงนี้ไปด้วยมีความสุขดีจัง

the more I hear you

the more I want you...

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หนาว เหงา คิดถึง


คิดถึงเธอ คนที่ดีที่สุด
ถึงแม้ได้พูดในวันที่มันสาย
ยังคงรักเธอ เธอได้ยินฉันไหม
อยู่แห่งไหน หัวใจมีแต่เธอ

เพิ่งรู้ว่ากอดมันหวาน
เมื่อเธอนั้นไปไกลลับตา
ใช้ทั้งสองมือไขว่คว้า คงไม่มีค่าใด
ห้องน้อยของเธอกับฉัน ที่วันนั้นมันดูแคบไป
เพิ่งจะรู้มันกว้างใหญ่ เกินจะนอนคนเดียว

อากาศมันพาไปสงสัยอยู่ปีนี้จะหนาวสักกี่วัน ทำไมคนชอบคิดว่าหนาวแล้วต้องเหงาแล้วต้องคิดถึง
หนาวมันก็อากาศ เหงา คิดถึง มันก็อารมณ์ เห็นเมื่อไหร่ก็เหงา ก็คิดถึงร่ำไป
เพียงแต่ถ้าเหงา คิดถึง ช่วงที่หนาวมันได้ความรู้สึกละมุน ละไม นวลๆ ไม่ร้อนรนกระมัง
และแล้วคำ่คืนนี้ฉันเลยพ่ายแพ้ไปกับอากาศที่มันพาไป เหงามาก คิดถึงมากนะ...........เจ้าเอย

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เมื่อจิตใจดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดี


พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือ “ใจ” เมื่อจิตใจดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดี ถ้าจิตใจไม่ดีแล้ว ถึงแม้จะร่ำรวยขนาดไหน มีลาภ ยศ สรรเสริญ ได้รับความรักจากพ่อแม่พี่น้อง ได้รับความรักจากสามีภรรยา จากใครอีกหลายคนก็ตาม แต่ถ้าเราไม่สบายใจ ทุกข์ใจ เสียใจ อย่างเดียวก็เสียทั้งหมด แม้ได้ในสิ่งที่ปรารถนาทุกอย่างก็ตาม แต่หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้
แต่มันก็ยากยิ่งหากเรายังอยู่ในวังวนกระแสของชีวิต การละทั้งที่ยังอยู่มันช่างยากเสียเหลือเกิน เมื่อตื่นเช้าลืมตาขึ้นมาก็มีแต่เหตุ ไหนจะออกไปเจอผู้คนที่เอาเปรียบหากเรานิ่งเฉยก้แทนที่จะเห้นใจกลับยิ่งทับถม วันทั้งวันมีแต่เรื่องรุกเร้าจิตใจ กว่าใจจะได้พักก็เหลือน้อยเพราะกายอ่อนแรง อาจจะพูดได้ง่ายว่าให้พยายามจับใจเราไว้ที่ถูกที่ดี แต่ในวัฎสงสารมันช่างทำได้ยาก หรือเราอาจจะมีกรรมตามมาทำให้ใจไม่สุขไม่สดใสดังแก้ว เจ้ากรรมนายเวรเอ่ย....สงสารฉันบ้างเถิด ชาติที่แล้วฉันก็ไม่รู้ได้ว่าไปทำอะไรไว้ หรือ มาเร่งเอาไปแต่เร็วเถิดไม่อยากเกิดเป็นคนเสียจริง

ที่จริง เราไม่อาจแยกพิจารณา
เพราะ ถ้าตัวตน คือ สรณะของความเป็นบุคคล
ตัวตน นั้นแหละ คือ อานิสงค์ปรากฏจริงของ พลวัตรการทำงานของกายและจิต

หลุมพรางของการวิเคราะห์หรือแยกส่วนคิด..คือ
ตรรกะอาจไม่ใช่สิ่งสะท้อนของจริง เพียงแต่มันมีกลไกของเหตุผลเท่านั้น

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

รอยนิรันดร์

แม้วันเก่าไม่หวนคืนมาหาหลับตาครั้งใดใจก็แอบคิดทุก ครานอนหลับฉันคิดฝันไปว่ารักคืนมาร่วมหัวใจ

เหมือนเราห่าง คนละฟากฟ้าฝั่งธารน้ำตากั้นเธอกับฉันจนไกลเธอลืมฉัน ฉันจึงร้องไห้ทิ้งรอยใจเป็นรอยนิรันดร์

รักกันแล้วจาก พรากใจเราห่างรักกันปวดใจเมื่อใจของเธอไม่คงมั่นนั่นคือวันร้างลา

หวัง วันหนึ่งหยุดฝันลืมตาได้พานพบเธอ หวนคืนช่วยซับน้ำตาหากมีวันนั้น แล้วตายฉันไม่นำพาขอเพียงมาคืนรักเก่า

ความผิดแค่ครั้งเดียว ไม่ให้โอกาสแก้ตัวอีกแล้ว

มีความหลังกับเพลงนี้กับใครบางคน

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

"ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" นี้เป็นความจริง อันไม่ตาย คือ ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง
แม้จะมีคนในสมัย หนึ่ง เกิดระแวงว่า
ทำไม คนทำชั่ว กลับร่ำรวยเร็ว
คนทำดี กลับยากจนลง หรือเป็นอยู่ด้วยความยากลำบากก็ตาม
ความจริง ก็ยังคงเป็นความจริงว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"
อยู่ตามเดิม ไม่โยกคลอน.

ทำดีได้ดีแน่ เพราะมันดี อยู่ที่ตัวการกระทำนั่นเอง และมันดีเสร็จแล้วตั้งแต่เมื่อทำ
แต่ ที่มันจะได้เงินหรืออื่นๆ ด้วยหรือไม่ นั่นเป็นอีกส่วนหนึ่ง
แม้ ทำชั่ว ก็เป็นอย่างเดียวกัน มันชั่วอยู่ที่ตัวการกระทำนั่นเอง
ไปทำ เข้า มันก็ชั่ว มาเสร็จแล้ว ตั้งแต่เมื่อทำ จะได้เงินด้วยหรือไม่ นั่นอีกส่วนหนึ่ง
ฉะนั้น "ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว" โดยไม่มีทางหลีกไปทางไหนพ้น.

ทำดีได้ดี และถ้าได้เงินมาด้วย มันก็เป็น "เงินดี"
ทำชั่วได้ชั่ว และถ้าได้เงินมาด้วย มันก็เป็น "เงินชั่ว"
เงินดี ทำเจ้าของให้เป็นเจ้าของที่ดี เย็นอกเย็นใจ
เงินชั่ว ทำเจ้าของให้เป็น "ปีศาจ ผู้สูบเลือดมนุษย์"
ฉะนั้น แม้จะได้เงินมามาก ด้วยการทำชั่ว
ก็ มีแต่จะยิ่งทำเจ้าของให้เป็น "ปีศาจ" มากยิ่งขึ้น ตามส่วนนั่นเอง.

ฉะนั้น ความจริง คงหนีความจริงไปไม่พ้น ว่า
"ทำดีได้ ดี ทำชั่วได้ชั่ว" อยู่จนตลอดกัลปาวสาน เป็นอย่างน้อย.

๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๓
พุทธทาสภิกขุ

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รู้สึกดีๆ...เมื่อรู้ว่าเราเลวเท่าคนอื่น

เราตื่นเช้าขึ้นมา ตาสองตามองไปทันทีข้างหน้า อาบน้ำแต่งตัว ขับรถไปทำงาน
บนถนน ใครปาดหน้าเริ่มด่าทั้งในใจ และด่าดังๆ มันขับรถยังไง
แต่ถ้าตัวเราเป็นคนปาดเขาบ้าง แซงเขาบ้าง คิดในใจ วันนี้มีเรารีบ วันนี้จะสายแล้ว
มองเห็นหรือเปล่าว่าไอ้ที่เราทำๆอยู่ ทุกวันนี้ เพราะอะไร ทำไมคนอื่นมันเลว แล้วเราดีอยู่คนเดียว 
 คนที่เรารักมากที่สุดคือใคร
คำตอบคือเรารักตัวเองที่ สุด เราดีที่สุด ครอบครัวเรา เพื่อนที่ดีรองลงมา
สังคมมันถึงวุ่นวาย เพราะแต่ละคนรักตัวเอง ซึ่งไม่แปลกหรอก 
แต่ที่แปลกคือเราคิดว่าเราน่ะดี แต่คนอื่นเลว
เพราะความไม่รู้ ในธรรมดาของตัวเอง แล้วจะไปเข้าใจธรรมดาของคนอื่นได้ไง  
คนไทยเกิดมาทันทีนับถือพุทธนะครับ แต่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอะไรไม่รู้ครับ วันวิสาขบูชารู้แค่ดีจังได้หยุดสบาย 
 เมืองไทยไม่ใช่เมืองที่คนนับถือพุทธมาก แต่เป็นเมืองที่พิมพ์ในบัตรประชาชนว่านับถือศาสนาพุทธมากที่สุด
สิ่งที่ประหลาดที่สุดคือ พอมารู้ กายกับใจตัวเองอย่างถ่องแท้ 
กลับพบว่าเหมือนกัน เรากับคน อื่นเหมือนกัน มีกิเลส ตัณหาความอยาก ความยึดมั่น ทำให้ไปทำกรรมทาง ใจ 
แล้วแสดงออกทางกายวาจา แล้วเกิดวิบากผล ของกรรม มีเหตุปัจจัยอย่างนี้ทำให้เกิดผลอย่างนี้
เครื่องมือที่รู้ กายกับใจคือสติ สติจะเกิดจากจิตจำสภาวะได้ สติสั่งให้เกิดไม่ได้ แต่วางเหตุไว้ได้เช่นพอยืนเดินนั่งนอน 
ให้รู้ตัวไว้ อย่าเพ่ง รู้สบายสบาย เมื่อจิตจำได้ พอเดินสติมาทันที
สติต่อเนื่อง ตั้งมั่น รู้กายรู้ใจอย่างเป็นกลาง ไม่แทรกแซง คือสมาธิ
สมาธิ จะเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ปัญญาที่รู้ว่าทั้งร่างกายจิตใจเรานั้น มีลักษณะสามประการ 
1.เปลี่ยนแปลงตลอด ร่างกายนั่งสบายเดี๋ยวเมื่อย เดี๋ยวสบาย เดยวเฉยๆ จิตใจคิด ใจลอย เผลอโกรธ โลภ หลง ทั้งวัน (อนิจจัง) 
2. เป็นทุกข์ ร่างกายและจิตใจ ถูกกดดันให้เป็นทุกข์  
3.บังคับร่างกายจิตใจไม่ได้ จะบังคับไม่ให้หิวไม่ได้ บังคับไม่ให้หลง ไม่ให้โกรธ ไม่ให้โลภ ไม่ได้
ทั้ง หมดนี้คือทุกข์ ในอริยสัจสี่ เอาเท่านี้ก่อนรายละเอียดไปหากันเองทีหลัง
ใคร ไม่เข้าใจไปทำทาน รักษาศีลก่อน ทำทานผ่านตู้บริจาค มีตังค์ให้ขอทาน ไม่ยากหรอกวัตถุประสงค์ของทานเพื่อกล้าที่จะให้เงินของเราไปมีประโยชน์แก่คน อื่น จิตเป็นกุศล ทำแล้วสบายใจ จบแล้ว  
รักษาศีลห้าข้อยากไหมยากถ้าไม่โกหกเจ้านายลูกค้าสงสัยไม่รุ่งแน่ กินเหล้านิดหน่อยเพื่อสังคม ยากเปล่ายากนะ ศีลรักษาแล้วมีประโยชน์ ทำแล้วไม่ร้อนใจ ไม่ร้อนใจใจก็สงบ สงบนำมาความสุข สุขนำมาซึ่งสมาธิ(จิตที่ตั้งมั่น) จิตตั้งมั่นนำมาซึ่งความรู้ตามความจริง .........
เห็นเปล่าว่าทำอะไร ทำเพื่ออะไร ทำอย่างไร ระหว่างทำอย่าเผลอไปทำอย่างอื่น นี่ถึงจะมีปัญญา
อ่าน เล่นๆ อย่าเพิ่งเชื่อไปหาครูบาอาจารย์ หาพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าสอน อย่าเชื่อใครง่ายๆนะครับ  
อย่าเชื่อต้องลองปฏิบัตเอง ดูผลเองว่าใช่ค่อยเชื่อ แล้วจะรู้จริงได้ด้วยตัวเอง
รัก ตัวเองไม่ผิด แต่อย่ารักมากไปจนกลายเป็น คุณเห็นแก่ตัว แล้ว คุณก็จะอยู่กับสังคมเลวเห็นแก่ตัว เห็นแต่ผลประโยชน์ คนที่เข้ามาเกี่ยวพันมันก็มาหาผลประโยชน์ตักตวงได้มันก็ไป  
สุดท้าย.......คุณเหลืออะไร


วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว

ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว

ดี...งามนำจิตแผ้ว...........ผ่องใส
ชั่ว...ต่ำ ทรามนำใจ...............หม่นคล้ำ
อยู่...สงบร่มเย็นใน-.............. สุจริต-ธรรมนา
ที่...ชั่วฤาดีล้ำ.......................ใช่อ้างเพียง ผิว ๚

ตัว...ขาวขาวแต่เนื้อ.........นวลกาย
ทำ...ชั่วชั่ว พลันขยาย............แผ่กว้าง
สูง...เทียมเมฆอย่าหมาย........อยู่ ยั่ง-ยืนนาน
ต่ำ...แต่ตัวอยู่บ้าง..................แต่ให้ใจสูง ๚

อยู่...ดีดีส่งให้..................เห็นผล
ที่...สุจริตมัก ดล.....................สุขให้
ทำ...ชั่วยิ่งนำตน....................ตก ต่ำ
ตัว...กอปรกรรมเวรไว้.............จักต้องตามสนอง ๚ะ๛


credit : อัลมิตรา

แถม

คนเลว ถึงจะทำแต่งตัวให้ดูดีอย่างไร ก็ยังคงเป็นคนเลวเสมอ

แต่คนดี ถึงจะแต่งตัวเป็นยาจก ก็ยังคงเป็นคนดีเสมอ

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สั้นๆแต่ได้ใจ

ลังเลจนล้มลง แต่ใจมันวกวนวุ่นวาย
ลังเลจนล้มลงเจ็บ เจียนตาย
เสียดายนะใจ
รู้ว่าเคยเสียไป รู้ว่าเคยรักใครสุดใจ
รู้ว่าเคยฝันเคยวาดเอาไว้ เสียดายนะเธอ
กี่วันที่ผ่านไปไม่กลับคืน
ทำไม ต้องหยุดยืนรอวันตาย
ใจยังงดงามและมีความหมาย
คนที่เคียงกายมีอีกร้อย พัน

เสียดาย ธี


วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความสวยงามบนความเจ็บปวด

ที่ปลายพายุกระหน่ำนั่น ย่อมมีสายรุ้งเสมอ…

ท่ามกลางสภาวะที่ถาโถม ทั้งเรื่องราวภายนอกและภายในใจ

หลายๆคนมักจะอ่อนล้าโรยแรง กับสภาวะที่รุนแรงรุมเร้า

แต่ความจริงแล้ว ไม่ว่าพายุจะรุนแรงเพียงใด ก็ยังมีวันหยุด

ลมที่แรงเพียงใด….ก็จะมีวันเบา บางไป

ชีวิตคนเราก็เหมือนกัน บางทีเราจะรู้สึกว่าอะไรกันนักหนา เจอเรื่องโน้น เรื่องนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด เรื่องคนที่บ้าน คนที่ทำงาน คนที่ไม่เคยเจอกัน ก็สามารถมาเป็นศัตรูกับเราได้ห มด เยอะแยะมากมาย และนอกจากจะมีเรื่องราวคับอกคับใจแล้ว ยังมีเรื่องที่ไม่คาดฝันอีก เช่น แฟนทิ้ง เงินหาย รถชน ทะเลาะกะเพื่อน โอ้ย…ฯลฯ สารพัดสารพัน

ข่าวดีคือ เราสามารถแก้ไขมันได้ทุกสิ่
ข่าวร้ายคือ สิ่งที่ผ่านไปแล้วเราแก้ไขมันไม่ได้

การนั่งกังวล หรือทุกข์ใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็เหมือนกับการตอกย้ำความเจ็บปวดให้กับตัวเอง มีแต่จะทำให้ตัวเองทุกข์ลงทุกวันๆ เพราะฉนั้นการจัดการกับสิ่งที่ ผ่านไปแล้ว และมันทำให้เราทุกข์ใจก็คือ ไม่ต้องทำอะไรกับมัน อยู่เฉยๆ แล้วกับคนที่เรารู้สึกว่าเขาต่าง ก็มารุมเร้าให้เราเร่าร้อน นั้นล่ะ? ก็ ต้องไม่ทำอะไรเหมือนกัน

หากจะบอกว่าก็แผ่เมตตาให้เขาสิ เรื่องทั้งหลายก็จะกลายเป็นดี แล้วสิ่งดีๆก็จะเกิดขึ้น สำหรับหลายๆคนคงทำยากสักนิดนึง เพราะว่าแค่จะมองหน้าเขาก็ยังจะยาก จะให้มาแผ่เมตตาให้มันมีความสุขคงทำไม่ได้ง่ายๆ แต่สุภาษิตจีนบทหนึ่งได้กล่าวว่า……

ถ้าเป็นมิตรไม่ได้ ก็อย่าเป็นศัตรูก็แล้วกัน

นั่นก็คือ แม้ว่าเราไม่สามารถทำใจยอมรับเขา ได้ ก็อย่าไปทำอะไรที่มันเกินเลย เช่น แก้แค้น นินทาว่าร้าย หรือทำให้เขาต้องเจ็บช้ำน้ำใจ เพราะทุกสิ่งนั้นมีผลปฏิกิริยาตอบสนองทั้งนั้น หมายถึงไม่ว่าเราจะทำไม่ดีกับเขา เท่าไร เราก็จะต้องได้รับผลเช่นนั้นเหมือน กัน

ดังนั้น…สำหรับท่านที่ไม่สามารถ ทำใจยอมรับเขา (ที่ทำให้เราเจ็บใจ หรือลำบากได้) เราก็วางอุเบกขา และยอมรับในวิบากกรรมของเรา และก้มหน้าก้มตาทำความดีต่อไป อย่าท้อ อย่าถอย อย่าหยุดการสร้างความดีของเราเด็ดขาด เพราะเราจะรู้ว่า… สักวันเวลาที่มันยากลำบากก็จะ ต้องมีวันผ่านพ้นไป

ความจริงแล้วการให้อภัยกลับกลาย เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อผู้ที่ให้อภัยเอง เพราะการให้อภัยคือการปลดปล่อยตนเองจากซากอดีตที่เจ็บปวด เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพื่อที่จะช่วยกันปลดปล่อยความ เคืองแค้นที่ยังฝังใจ เพื่อให้จิตใจได้รับอิสรภาพและเกิดความสุขสงบทางใจ

การที่จะให้อภัยแก่บุคคลผู้ที่ เคย ทำให้เราเจ็บปวด แม่ชีเทราซาสอนว่า

“เพื่อที่จะให้อภัยใครบางคนที่ ทำให้เราปวดร้าว เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่กับผู้ที่เคยทำให้เราผิดหวัง เพื่อที่จะคงความเสียสละไว้แม้ เคยถูกหลอกลวง เหล่านี้แม้หากจะเจ็บปวด แต่เป็นการให้อภัยและเป็นรักที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว"

ขอเพียงทำใจนิ่งๆ…

“หากเกิดเรื่องหรือปัญหาขึ้น ให้ทำใจนิ่งๆ แล้วออกมานั่งธรรมะ

อย่าคิดนำไปก่อน เพราะใจมันไม่ใส หากคิดนำไปก่อนมารก็จะแทรก แล้วความทุกข์ก็จะมา

ให้ออกจากปัญหา แล้วมานั่งหลับตา แล้วบุญจะจัดสรรนำสิ่งดีๆมาเอง”

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Bloggang.com : alone_destiny : เหงา...

Bloggang.com : alone_destiny : เหงา...

ปล่อย

บางที..ที่ห่างไป..เพราะอยากจะทิ้งบางเรื่องไปให้ไกลๆ..
มันยังคงอยู่..บางที
ฝันที่มีมันไม่มีแล้ว...ปล่อย..คงปล่อยไป
วันนี้ดีขึ้น...มีเพื่อนไกลๆ..ทำให้รู้สึกดี...เพื่อน
คงไม่ย้อนไปกับคนที่ไม่เคยทำดีเพื่อเราจริงๆ

เมื่อรักคงไม่กลับมาอีกแล้ว
เปลี่ยน วันที่ใจนั้นเปลี่ยน วันที่คนหนึ่งคนทิ้งกัน วันที่เธอต้องกลืนต้องเก็บ
วันที่ทรมาน วันที่เกินจะทนรับมันเอาไว้
อยากจะร้องบ้างมั้ย ร้องไห้กับมันซักที ร้องซักครั้ง ร้องพอให้มีน้ำตามาแบ่งเบา
ร้องจนกว่าจะลืมเรื่องราว

อยากจะร้องก็ร้อง ร้องให้กับการร่ำลา ร้องซักครั้ง ร้องให้กับคนที่คงไม่กลับมา
ร้องจนกว่าจะหมดน้ำตา
ก็ปล่อยให้ใจร้องซักครั้ง ร้องจนกว่ามันจะชินและชา
ร้องครั้งนี้ ร้องให้กับรักและวันเวลา ให้หยดน้ำตามันลบภาพในหัวใจ ปล่อย
วันนี้เธอแค่ปล่อย พอเสียที อย่าทนรั้งมันเอาไว้

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ถ้าใช่ก็ใช่ ถ้าไม่ใช่รั้งไว้ยังไงก็ไม่อยู่

เมื่ิอความรักถึงจุดอิ่มตัว
เราอาจจะรู้สึกกับสิ่งที่คล้าย แต่สุดท้าย...มันก็อาจจะไม่ได้ เป็นสิ่งที่ใช่สำหรับเราเคย รู้สึกไหม...เวลารักใครสักคน แต่หัวใจกลับบอกว่าไม่ใช่ร ักที่เราต้องการ เคยรู้สึกไหม...เวลารักใครนานๆไปแล้วหัวใจบอกว่าเราไม่ใช่ของกันและกันอีกต่อไปแล้ว ทั้งที่ยังคงรู้สึกดีต่อกัน การตัดสินใจคลายออกจากกันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนสองคน เมื่อจุดๆหนึ่งของความรักในวันนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เราทั้งสองตต้องการอีกต่อไป แต่ถ้าในวันพรุ่งนี้ ความดื้อดึงยังคงรั้งร่างกายและจิตใจเราให้อยู่ด้วยกันต่อไป สิ่งที่เิกิดขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจมันอาจจะค่อยๆทำลายความรู้สึกดีๆที่มีให้กันจนหมดสิ้น การตัดใจเป็นการเสียใจทีเดียว แต่การยื้อกันไปเรื่อยๆเป็นสิ่งที่เราเสียใจไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดจบ อย่าพยายามฝืนใจรักในวันที่เรา ไม่ได้รู้สึกรักกันอีกต่อไป เพราะหากเราจำทนใช้ชีวิตกับ ความรัก-คำว่าไม่ใช่ในท้ายที่ สุดคงไม่ต่างอะไรกับการทำร้าย หัวใจเราเอง....

ยืมมาจาก รัตติยล

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

คนเลว

หลงในวังวนกิเลส......ไปไม่พ้น

ทำไมใจคนจึงยากนักที่จะหยั่ง

คำพูดทุกๆคำหลงเชื่อไม่ได้

ปากว่าใจอย่างกลิ้งกลอกไปมา

ทำไมหลงไปกับสิ่งที่ต่ำเกลือกกลั้ว

เราฉุดเราดึงกลับยิ่งห่างดำลง

ไม่มองความจริงสิ่งเลวนั้นล่อใจนา

สงสารแต่เจ้า...เฝ้าหลงร่ำร้องผิดคน


เชื่อเสมอว่าทุกสิ่งเปลี่ยนได้ถ้าเขาคิดจะทำ

เชื่อทุกครั้งที่เราทำอะไรแล้วตั้งใจจะสำเร็จ

เชื่อว่าความจริงใจที่มีให้เขาถ้าเขารู้สึกเขาจะรู้ว่าเราหวังดี


แต่กลับได้แต่สิ่งว่างเปล่าทั้งๆที่เราทุ่มเทและให้โอกาสเสมอ

แต่คงไม่เปลี่ยนความเชื่อถึงจะผิดหวังในสิ่งที่ทำ

เพราะมันก็แค่เราทำดีให้เพียงไม่ถูกคน....ก็เท่านั้น

วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

ฝัน


ความจริงกับความฝันต่างกันที่ตรงไหน
เคยตั้งคำถามนี้ในใจ...เพื่อหาคำตอบให้ใจ
ความจริงต้องจับต้องได้จริง สัมผัสได้จริง
ทำให้มีความสุขได้จริงๆ
ความฝันจับต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้จริง
และเพียงแค่รู้สึกก็สุขใจได้จริงๆ

ความรู้สึกดีดีที่เกิดขึ้นในใจวันนี้
บางครั้งก็เหมือนจะเป็นความจริง
บางทีก็เป็นเหมือนแค่ฝัน
ความจริงกับความฝันผสมกันจนเกิดความสับสน

วันที่ความฝันเกิดขึ้น...ดูเหมือนความสุขจนล้นใจ
วันที่ความจริงเดินทางมาใกล้ความฝัน
แถมเป็นความจริงที่เหมือนฝัน
ความสับสนเข้ามาใกล้ความสุขในปริมาณที่ไม่น้อย
ชีวิตคนเราไม่ยาวนานนัก
พรุ่งนี้จะได้ลืมตาตื่นมาหายใจอีกหรือไม่...ไม่มีใครรู้ได้
สิ่งสำคัญที่สุด
คือหาความสุขให้กับช่วงชีวิต
ที่เหลืออยู่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หากเกรงกลัวว่าวันนี้สุข...แล้วพรุ่งนี้ต้องเศร้า
วันนี้เลยเลือกที่จะไม่สุข...
เผื่อว่าพรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องเศร้า
ผลที่เกิดคือวันนี้ก็ไม่สุข...
พรุ่งนี้อาจจะไม่เศร้า หรือเศร้าหนักก็ได้

แต่พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึงไม่มีใครรู้ได้
นอกจากคนบนฟ้าที่ลิขิตทุกอย่างไว้แล้ว
แต่สิ่งที่รู้ได้แน่นอนก็คือวันนี้ไม่สุขแน่นอน

พรุ่งนี้คืออนาคต...อนาคตคือความไม่แน่นอน
วันนี้อาจจะสุข และพรุ่งนี้ก็อาจจะไม่เศร้าก็เป็นได้
พรุ่งนี้อาจไม่มีสำหรับเรา
แต่วันนี้มีอยู่จริง
เพราะฉะนั้นหาความสุขให้กับวันนี้ที่ยังมีลมหายใจอยู่
พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นพร้อมที่จะเผชิญกับมัน
เพียงขอแค่ลมหายใจในวันพรุ่งนี้...
อะไรจะเกิดพร้อมจะรับเสมอ

แม้นหากแท้จริงแล้วความสุขที่เกิดขึ้นมันจะเป็นเพียงแค่ฝัน
ถ้าแค่นั้น...ก็ยังไม่อยากตื่น
ขอหลับยาวๆ อีกสักพัก....อย่าเพิ่งมาปลุกกันนะ
ขอฝันต่อแบบยาวๆ

ถ้าสุดท้ายแล้วโลกแห่งความจริงมันโหดร้าย….ผมขอกลับไปอยู่ในโลกแห่งความฝันของผมดีกว่า

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

สุขทุกข์เปลี่ยนไปตามโลก


เมื่อเกิดมีชีวิตย่อมผิดหวัง
เมื่อมีตั้ง ก็มีล้ม ล่มสลาย
เมื่อมีเกิดทั้งที ก็มีตาย
เมื่อมีหลาย ก็มีลด เป็นบทเรียน

เหมือนน้ำขึ้น น้ำลง ปลงเสียเถิด
เหมือนความเกิด ความดับ กลับแปรเปลี่ยน
เหมือนสว่าง และมืดมน วกวนเวียน
จะเสถียร สถาพร ก็ตอนตาย

การ ที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ความเคยชิน อุปนิสัยใจคอ เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้ ถ้าเราเข้าสู่การทำใจ การเรียนรู้ใจ การพัฒนาใจ การปรับปรุงใจ และการไม่เอาแต่ใจ

การที่ เราเอาแต่ใจตนเอง อยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างใจตนเอง เราจะขัดใจ อึดอัดใจ ไม่สบายใจ อยู่บ่อยๆ เพราะโลกนี้ก็ต้องหมุนไปตามแรงเหวี่ยงของโลก ปรากฏการณ์ทั้งหลายในโลกนี้ก็ต้องเป็นไปตามวิสัยโลก หากเราจะต้องให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นไปอย่างใจของตนเอง เราก็จะกลายเป็นคนที่หงุดหงิดและผิดหวังอยู่ตลอดเวลา

เราจะต้อง พยายามทำใจของเราให้เป็นไปตามแรงหมุนของโลก สร้างเหตุปัจจัยที่ดีที่สุด พยายามทำจิตของเราให้ดีที่สุด พร้อมที่จะรับความไม่เป็นไปดั่งใจให้ได้มากที่สุด พร้อมที่จะทำให้ใจของเรามีภาวะที่สามารถปรับได้เปลี่ยนได้ พัฒนาได้ และฝึกฝนให้เป็นคนที่มีความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจได้ ไม่ว่าจะถูกกระทบด้วยอารมณ์ ผัสสะ เรื่องราวใดๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ตาม

ตราบใดที่เราเป็นคน ตราบใดที่เราเดินเหินในโลกลูกนี้ เราปฏิเสธไม่ได้สิ่งที่เราไม่ชอบ สิ่งที่เราชอบ มันก็จะต้องหมุนเวียนเปลี่ยนเข้ามาในชีวิตจิตใจของเราตลอดเวลา กระทั่งมีถ้อยคำปรากฏในพระไตรปิฎกว่า
"ความสุขย่อมเกิดในลำดับแห่งความทุกข์ และความทุกข์ย่อมเกิดในลำดับแห่งความสุข”

หมายความว่า”ความสุข” กับ “ความทุกข์” จะเกิดดับสลับกันไป ไม่มีความสุขโดยส่วนเดียวและก็ไม่มีความทุกข์โดยส่วนเดียว

ขณะ ใดที่กำลังมีความสุขมากๆ นั้น บัดเดี๋ยวความทุกข์หนักๆก็จะต้องตามมา ในทางกลับกันขณะที่กำลังมีความทุกข์มากๆ จงเชื่อเถิดว่าบัดเดี๋ยวความสุขอันวิเศษก็จะตามมา ขณะที่มีความทุกข์และมีความสุขอยู่นั้น ก็อย่าคิดว่าจะจีรังยั่งยืน ทั้งความทุกข์และความสุขเป็นของไม่เที่ยงไ ม่สามารถที่จะอยู่ยงคงทนกับชีวิตของเราในขณะใดขณะหนึ่งยาวนานเกินไปนัก

ถ้าเราไปฝังใจอยู่กับทุกข์ เรากำลังจะทุกข์ซ้อนทุกข์ ทุกข์ซ้ำทุกข์ ทุกข์ทับถมทุกข์ที่มีอยู่แล้ว

มนุษย์ เราส่วนใหญ่นั้นไม่ได้ทุกข์เพราะทุกข์เพียงชั้นเดียว แต่ไปสร้างทุกข์ทับถมทุกข์ที่มีอยู่แล้วเสียมากกว่า เป็นต้นว่ามีคนมาด่าเราหนึ่งครั้ง เราก็เกิดอาการทุกข์ในใจ เพียงแค่นี้เราก็ควรที่จะให้ทุกข์นั้นผ่านไป เพราะว่าความรู้สึกทุกข์ในใจที่ถูกเขาด่ามันเป็นเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ก็จางหายไป เราไม่ได้โกรธอยู่ตลอดเวลาเสียเมื่อไหร่ หยุดพักก็ไม่เกิดแล้ว แต่เนื่องจากว่าตัวเราเองไปนำเอาคำด่าที่เขาด่าเรานั้นมาด่าตนเองซ้ำอีกนับ จำนวนร้อยครั้งพันครั้ง ไปไหนมาไหนเราก็ยังด่าตัวเองว่า มันด่าฉัน ๆๆๆๆ ! จริงๆ แล้วเขาด่าเราเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ตัวเราเองนั่นแหละด่าตัวเองจนนับจำนวนครั้งไม่ได้

คนเราทุกข์ก็ เพราะว่าสร้างทุกข์ทับถมตัวเองที่มีทุกข์อยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีปรีดาแต่ประการใด เราจะต้องปล่อยให้ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ประเดี๋ยวเดียว ทำให้ดับไปอย่างเร็วที่สุด อย่าเอาใจไปแบกรับกับความทุกข์นั้นๆ และจงพยายามปล่อยให้ทุกข์ที่ผ่านมานั้นผ่านไป อย่าไปเก็บกักดักอารมณ์เหล่านั้นหมักหมมไว้ในจิตวิญญาณของเรายาวนานนัก ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นว่าเรามีชีวิตที่ไม่สามารถพัฒนาตนไปสู่จิตวิญญาณที่ โปร่งใสแจ่มใสได้

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

เราเกิดใหม่ได้เสมอ



ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต แม้ในยามที่ไม่เหลืออะไรเลย สิ่งหนึ่งที่เราต้องมี คือ ศรัทธาในตัวเอง

ศรัทธา ในตัวเองไม่ได้เกิดจากความคิด หรือการสร้างภาพลม ๆ แล้ง ๆ แต่เกิดจากการตรวจสอบการกระทำความคิดของตัวเอง เกิดจากความนับถือในแก่นแท้ในสิ่งที่เราเป็นไปจริง ๆ

เราต้องจริงใจกับตัวเองพอที่จะรักษาขัดเกลาความคิด การกระทำ คำพูดของเราแต่ละขณะ เพื่อให้เรานับถือและมีศรัทธาในตัวเองได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็มีศรัทธา มั่นคงในสิ่งที่ผ่านมา

มองย้อนไปในอดีต ก็เห็นสิ่งที่เราทำ เป็นความดีงาม เป็นประโยชน์ เป็นของจริง ที่หากใครจะสร้างภาพบิดเบือนก็เป็นได้แค่คำพูด แต่ข้อเท็จจริงเป็นประจักษ์พยานรับรองที่จับต้องมองเห็นได้

อดีต ของมนุษย์ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่เราต้องรู้ชัดว่าเราทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยเจตนาดีงาม ทำเต็มกำลังสติปัญญา ขัดเกลาพัฒนา จิตวิญญาณของตัวเองจนเกิดผลลัพธ์ดีงามในชีวิตตนและคนอื่น

มองไปในอดีตก็อบอุ่นใจ

มองไปในอนาคตก็รู้เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

มีเป้าหมายที่จะขัดเกลาพัฒนาตัวเอง ค้นพบศักยภาพของตัวเอง ผ่านความสุขและความทุกข์ ผ่านปัญหาและโอกาส ผ่านความสำเร็จและล้มเหลว แล้วเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของความเป็นมนุษย์ สร้างประโยชน์แก่ตนเองและโลก

มีศรัทธาในตนเอง ศรัทธาในกฎธรรมชาติ

จักรวาล นี้ดำเนินไปใต้กฎธรรมชาติ ซึ่งเป็นความอุดมสมบูรณ์ ความรัก ความเมตตา ยุติธรรม ถูกต้อง ดีงาม เป็นประโยชน์เพื่อผู้อื่นในแต่ละขณะของการดำรงอยู่ของตนเอง ตั้งแต่ในระดับที่เล็กที่สุดของเซลล์แต่ละเซลล์ ต้นไม้ ดอกไม้ แต่ละชีวิตดำรงอยู่เพื่อเกื้อกูลผู้อื่น

ธรรมชาติโดยเนื้อแท้ของจักรวาลเป็นความดีงาม เที่ยงตรงเหมือนเข็มทิศที่ชี้ไปทางทิศเหนือเสมอ...

ที่มา : หนังสือเข็มทิศชีวิต เล่ม 2 ตอนกฎแห่งเข็มทิศ

โดย...ฐิตินาถ ณ พัทลุง...


ในยามที่ท้อแท้ อ่านกี่ครั้ง มันก็หาย.....ขอบคุณข้อความเหล่านี้ที่ทำให้เราเกิดใหม่ได้เสมอ

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

สิ่งที่ทุกคนปรารถนา

ความสุข เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และพากันแสวงหา ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามแต่ระดับของสติและปัญญา ที่จะอำนวยให้ได้ แต่ถ้าระดับของสติและปัญญา อ่อนลงมากเท่าไร ? การแสวงหาความสุขนั้น ๆ ก็ย่อมจะพาเอาความทุกข์ พ่วงเข้ามาด้วยมากเข้าเท่านั้น จะเห็นได้ว่า

บางคนไปหลงเสพความทุกข์ แต่เข้าใจว่าเป็นความสุข เช่น การกินเหล้า กินเบียร์ สูบบุหรี่ กินหมาก ดมทินเนอร์ สูดไอระเหย สูบกัญชา ตลอดจนเครื่องดื่มบางชนิด เป็นต้น

โดยหลงไปว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสุข หรือยอดของความสุขไป กว่าจะรู้ตัวก็เกิดโรคร้ายแรงเสียแล้ว ชีวิตทั้งชีวิตก็มาดับสลายลง กับสิ่งที่ไร้สาระ อย่างน่าเวทนายิ่งนัก

ความสุขโดยพื้นฐาน ได้แก่ความพอใจ แต่ความพอใจนั้น มันจะซ่อนพิษภัยและโรคร้ายต่าง ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ ? ก็จะต้องขึ้นอยู่กับระดับของสติและปัญญาในแต่ละคนด้วย

การได้เรียนรู้เรื่องของความสุข ตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้า และจากประสบการณ์ จึงจัดว่าเป็น "กำไรของชีวิต" ที่ทุกท่านไม่ควรจะละเลย

จากประสบการณ์พบว่า การที่คนเราจะมีชีวิตอยู่โลกนี้ อย่างมีความสุขตามอัตภาพ ไม่ว่าในเพศของคนคู่หรือคนเดี่ยวก็ตาม ถ้าได้ยึดถือแนวคำสอนของพระพุทธเจ้าเป้นเครื่องนำทางอย่างถูกต้องแล้ว ก็ย่อมจะไม่ก่อปัญหาที่เป็นทุกข์ร้ายแรงใด ๆ ขึ้นได้เลย

อยากขอถามแบบ "จิตสู่จิต" ว่าท่านเป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหม ? ที่รู้ว่าอะไรชั่วแล้วไม่ละ ? และรู้ว่าอะไรดีแล้วไม่ยอมทำ ? (ขอให้ตอบตัวเองในใจว่าจริงหรือไม่จริง ?)

ถ้าท่านเป็นคนดังว่ามานี้ เห็นทีว่า "ทางสู่ความสุข" จะถูกปิดตันสำหรับท่านเสียแล้ว !

แต่จะอย่างไรก็ตาม ยังมีความเชื่อมั่นว่า ท่านต้องเป็นคนหนึ่งละ ที่ปรารถนาความสุข

ขออย่าให้ท่านซึ่งมีความทุกข์อยู่ หรือปรารถนาความสุขอยู่ แล้วมันก็จะขาดวงจรอยู่เพียงแค่นั้นเลย !

ความเพียรพยายาม พวกเธอต้องทำเอาเอง
ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้บอกทางให้เท่านั้น !

แต่เราคนที่ยังเวียนและว่ายอยู่ในทะเลแห่งทุกข์

วันไหนที่เราจะเห็นฝั่งตราบที่เรายังถูกคลื่นแห่งกิเลสโถมใส่อยู่

หันมองที่ใดมันช่างเงียบเหงาทั้งๆที่อยู่กลางผู้คน

มันใช่หรือความสงบที่เราหวังแต่มันเป็นความเปลี่ยวเปล่าที่แสนวังเวง

น้อมเอาคำพระมาตั้งเอาไว้

สักวันฝั่งที่แสนไกลเราคงเจอ


เว้นเหตุแห่งทุกข์ ย่อมมีสุขในที่ทั้งปวง


คำที่กล่าวนี้มันจริงแท้แน่นอน
เพียงแต่เราจะละทุกข์กันได้ขนาดไหน
เราจะจับใจเราให้อยู่นิ่งกันได้ยังไง
โลกของเราที่นิ่งและเงียบอยู่ในส่วนไหนของธรรม